ตอน ตอนที่ 523 จาก ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
ตอนที่ 523 คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
“เถ้าแก่ล้อข้าเล่นแล้ว โอสถผลึกเย็นสามเม็ดนี้ ข้าต้องสูญเสียพลังจำนวนมากถึงได้มันมา หากไม่ใช่ว่าช่วงนี้ต้องใช้หินจิตวิญญาณล่ะก็ ข้าคงไม่ยอมขายอย่างแน่นอน” กล้ามเนื้อบนใบหน้าหลิ่วหมิงกระตุก และเผยสีหน้าเจ็บปวดออกมา
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! ถ้าอย่างนั้นข้าคงเพ้อฝันไปหน่อย” หญิงชุดแดงกล่าวด้วยสีหน้าผิดหวัง
“ข้าน้อยชื่อเยี่ยนหง หากต่อไปสหายมีโอสถอยากขาย ก็มาที่ร้านได้เลย จะต้องไม่ทำให้ท่านผิดหวังอย่างแน่นอน” หญิงชุดแดงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวเสริมขึ้นมา
หลิ่วหมิงพยักหน้าโดยไม่พูดอะไรออกมา จากนั้นก็ลาจากไปอย่างรวดเร็ว
ไม่นาน ร่างของเขาก็มาปรากฏตัวหน้าร้านค้าอีกแห่งหนึ่ง……
สองชั่วยามต่อมา โอสถบนตัวเขาก็ไม่เหลือสักเม็ด และถูกแทนที่ด้วยหินจิตวิญญาณสองแสนกว่าหินจิตวิญญาณ
โอสถผลึกเย็นกับโอสถจินหยวนได้รับการตอบรับเหนือความคาดหมายของเขามาก
แค่โอสถธรรมดาก็ขายไปในราคาห้าหมื่นหินจิตวิญญาณอย่างน่าตกใจ
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องยุ่งยาก เขาแบ่งขายโอสถเหล่านี้ตามร้านสองสามแห่ง ร้านละสามสี่เม็ด เพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจ
แต่อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงแล้วยังคงมีเรื่องบางอย่างที่ไม่เป็นไปดั่งใจ
พอนึกถึงสีหน้าดีใจของเถ้าแก่ร้านที่รับซื้อโอสถธรรมดาจากเขา และน้ำเสียงเร่าร้อนที่ซักถามว่าผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถท่านใดเป็นผู้ปรุงโอสถนี้มา เขาก็รู้สึกหนักใจเป็นอย่างมาก
เขาวางแผนจะขายโอสถสองชนิดนี้เป็นจำนวนมาก แต่ดูจากสถานการณ์ในวันนี้ มันไม่เหมาะที่จะลงมือในตลาดของนิกายแล้ว
แผนในตอนนี้คงต้องเลือกตลาดนอกนิกายที่อยู่ห่างออกไปไกลหน่อย มิเช่นนี้พอเป็นจุดสนใจเข้า ผลลัพธ์คงหนักหนากว่าที่เขาคาดคิดนัก
หลิ่วหมิงเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาอีกเล็กน้อย จากนั้นก็ใช้หินจิตวิญญาณในมือทั้งหมด ซื้อผลผลึกเขียวที่ใช้ในการปรุงโอสถผลึกเย็นกับวัตถุดิบเสริมอื่นๆ ส่วนแก่นบริสุทธิ์อสูรจินหยวนที่เป็นวัตถุดิบหลักของโอสถจินหยวนยังหาซื้อไม่ได้ คงได้แต่ละทิ้งไปชั่วคราว
หลังจากเขาทำทุกอย่างนี้เสร็จ ก็ซื้อแผนที่อย่างละเอียดของพื้นที่บริเวณรอบๆ เขาหมื่นวิญญาณมาชุดหนึ่ง และกลับไปที่ถ้ำอย่างรวดเร็ว
เวลาในสิบกว่าวัน หลิ่วหมิงก็ปรุงโอสถผลึกเย็นมาได้สามสิบกว่าเม็ด และในนั้นก็มีสองเม็ดที่เข้าถึงโอสถธรรมดา
โอสถเหล่านี้ดูน่ายินดีมาก แต่หากจะแลกหินจิตวิญญาณล่ะก็ ยังต้องวางแผนกันอีกสักรอบ
หลิ่วหมิงนำแผนที่ที่ซื้อมาจากตลาดออกมาศึกษาอย่างละเอียด
เพื่อเป็นการประหยัดเวลา ทางที่ดีที่สุดตลาดที่จะไปต้องไม่อยู่ไกลจนเกินไป แต่หากอยู่ใกล้นิกายยอดบริสุทธิ์จนเกินไป ก็อาจจะดึงดูดความสนใจได้ ทั้งหมดนี้มันช่างขัดแย้งกันยิ่งนัก
หลังจากเขาคิดพิจารณาอย่างละเอียดไปหนึ่งรอบแล้ว ก็คิดวิธีหนึ่งออกมาได้
ครึ่งชั่วยามต่อมา เมฆดำก้อนหนึ่งก็ร่อนลงหน้าหอลี้ลับอย่างเงียบๆ พอมีเงาร่างปรากฏออกมา หลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวหน้าประตูหอแล้ว
เขาเอามือข้างหนึ่งลูบปากกระบอกแขนเสื้ออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินเข้าไปอย่างไม่สะทกสะท้าน
ผู้คนในหอลี้ลับนอกยังคงเป็นเหมือนดังแต่ก่อน
หลิ่วหมิงปะปนอยู่ในระหว่างศิษย์ที่เดินไปมา และเงยหน้าดูภารกิจบนป้ายประกาศ
ภารกิจบนป้ายประกาศนอกยังคงเป็นภารกิจธรรมดาที่มีหินจิตวิญญาณเป็นค่าตอบแทนเป็นหลัก ซึ่งไม่เข้าตาเขามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่ที่เขามาในครั้งนี้ไม่ได้มาเพื่อแต้มคุณูปการ
ชั่วเวลาครึ่งถ้วยชาผ่านไป ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย และยกป้ายประจำตัวขึ้นมาอย่างไม่ลังเล พอแสงสีขาวเปล่งประกาย แสงแวววาวลำหนึ่งก็กระพริบออกจากป้ายประกาศ และตกลงบนแผ่นป้ายในมือเขา
ภารกิจนิกายในครั้งนี้ เป็นตระกูลหนึ่งที่สังกัดนิกายยอดบริสุทธิ์ ช่วยคนในตระกูลกำจัดปีศาจร้ายสองตัวที่โผล่มาบริเวณนั้นอย่างกะทันหัน ตามที่ประเมินไว้ในภารกิจ ปีศาจสองตัวนี้คงจะมีการฝึกฝนราวๆ ระดับของเหลวจิตวิญญาณขั้นกลาง
หลิ่วหมิงมองป้ายบนมือทีหนึ่ง และเดินไปยังแท่นหินด้านข้าง หลังจากสอบถามผู้ดำเนินการไปสองสามประโยคแล้ว ก็หมุนตัวเดินออกจากห้องโถงด้วยสีหน้าสงบ
ชายหนุ่มกำยำล่ำสัน สวมชุดศิษย์สายนอกที่อยู่บริเวณนั้น มองดูแผ่นหลังหลิ่วหมิงที่เดินออกไปไกลๆ อย่างอดไม่ได้
เมื่อครู่เขาเห็นอย่างชัดเจนว่า ภารกิจที่หลิ่วหมิงรับไปคือการขับไล่ปีศาจบนเขาชังหมานซึ่งอยู่ห่างจากนิกายไปไกลมาก
ภารกิจนี้อยู่บนป้ายประกาศหลายวันแล้ว ไม่เพียงแต่จะอยู่ไกลเท่านั้น แม้การเผชิญหน้ากับปีศาจระดับของเหลวยังได้ค่าตอบแทนแค่แปดหมื่นหินจิตวิญญาณ ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีคนสอบถามเลย คิดไม่ถึงว่าศิษย์สายนอกร่วมนิกายจะรับภารกิจนี้
ชายหนุ่มส่ายหน้า และละทิ้งเรื่องนี้ไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ละสายตามามองบนป้ายประกาศด้วยสีหน้าครุ่นคิด
……
หลายวันต่อมา หลิ่วหมิงที่สวมชุดคลุมสีเขียวก็ขี่เมฆมาถึงหน้าประตูวิหารส่งตัวหลังหนึ่ง
วิหารสร้างอยู่บนไหล่เขา เห็นได้ขัดว่ามันค่อนข้างกว้างขวางมาก มีขนาดราวๆ สิบกว่าหมู่
ภายในห้องโถง มีค่ายกลส่งตัวหลายสิบหลัง ทั้งยังเปล่งประกายสีต่างๆ ออกมา มีทั้งขนาดใหญ่ขนาดเล็ก ข้างค่ายกลส่งตัวแต่ละหลังต่างก็มีป้ายชื่อตั้งอยู่ บนป้ายเขียนชื่อสถานที่ต่างๆ ที่อยู่บริเวณนิกายยอดบริสุทธิ์
ข้างค่ายแต่ละหลังยังมีศิษย์ดำเนินการที่สวมชุดสีฟ้าขาวยืนอยู่หนึ่งคน และยังมีคนเข้าๆ ออกๆ จากค่ายกลส่งตัวอยู่ตลอดเวลา
สิ่งนี้ทำให้เกิดเสียงดังหวึ่งๆ อยู่ไม่หยุด แสงหลากสีเปล่งประกายเป็นระลอกๆ แลดูโออ่ายิ่งใหญ่มาก
หลิ่วหมิงมาที่นี่เป็นครั้งแรก พอเป็นฉากเช่นนี้ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
นิกายยอดบริสุทธิ์เป็นหนึ่งในสี่ยอดนิกายใหญ่ สิ่งอำนวยความสะดวกสมบูรณ์แบบและครบครัน ซึ่งนิกายเล็กๆ อย่างนิกายปีศาจไม่อาจเทียบได้
เขาเดินอยู่ในวิหารหนึ่งรอบ ไม่นานก็หาค่ายกลส่งตัวเล็กๆ หลังหนึ่งเจอ
“ศิษย์พี่ผู้นี้ จะใช้ค่ายกลส่งตัวหรือ?” พอศิษย์ดำเนินการข้างค่ายกลเห็นหลิ่วหมิงที่สวมชุดศิษย์สายนอก ก็ถามด้วยรอยยิ้ม
ก่อนมาที่นี่ เขาได้หาอ่านคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องกับสถานที่แห่งนี้ตามความเคยชินของเขา ชื่อของเขาชังหมานมีความหมายว่าป่าเถื่อนอยู่ด้วย ช่างสมกับชื่อยิ่งนัก
สถานที่แห่งนี้นอกจากจะมีทัศนียภาพไม่เลวแล้ว สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาล้วนเป็นป่าเถื่อนวังเวงไปทั้งแถบ ไม่เพียงแต่จะมีปราณจิตวิญญาณเบาบางเท่านั้น แหล่งแร่และพืชจิตวิญญาณที่มีลักษณะพิเศษก็ไม่มีเลย
และตลอดการเดินทาง แม้แต่กำแพงเมืองของมนุษย์ก็พบเจอได้น้อยมาก ช่างเปล่าเปลี่ยวยิ่งนัก
แม้หลิ่วหมิงจะรู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย ที่เหตุใดสถานที่แห่งนี้ถึงยังมีตระกูลผู้ฝึกฝนอยู่ แต่รอทำภารกิจเสร็จสิ้นแล้วค่อยว่ากัน
ไม่นาน เขาก็มาถึงหน้ายอดเขาสูงตระหง่านลูกหนึ่ง
บนยอดเขามีไอหมอกสีเหลืองล่องลอยอยู่ตลอดเวลา ประจักษ์ชัดว่าเป็นค่ายกลมายาขนาดใหญ่ที่ปกป้องยอดเขาไว้ มันจึงบดบังฉากที่อยู่เบื้องหลัง
แต่ด้วยสายตาระดับหลิ่วหมิง ยังพอมองเห็นเงาตะคุ่มๆ ของสิ่งก่อสร้างที่อยู่ในนั้นได้อย่างรำไร
“คงเป็นที่นี่ล่ะมั้ง!”
หลิ่วหมิงพูดพึมพำไปหนึ่งประโยค พอยกแขนข้างหนึ่งขึ้น ลูกเปลวไฟขนาดใหญ่ลูกหนึ่งก็พุ่งขึ้นฟ้า และระเบิดตัวกลางอากาศ
ผ่านไปไม่นาน มีจุดสีดำเปล่งประกายบนยอดเขา มันก็คืออินทรียักษ์ที่กำลังบินเข้ามาอย่างรวดเร็ว
และบนหลังของอินทรีมีชายหนุ่มชุดเหลืองสองคนที่มีการฝึกฝนอยู่ที่ระดับศิษย์จิตวิญญาณยืนอยู่บนนั้น
พอเห็นหลิ่วหมิง ทั้งสองก็สบตากันทีหนึ่ง แววตาดูระมัดระวังเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็กุมมือคารวะแล้วถามขึ้นมา
“ไม่ทราบผู้อาวุโสมีชื่อแซ่ว่าอย่างไร มีธุระสำคัญอันใดที่ป้อมตระกูลสวี่ของพวกเรา?”
“ข้าศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ รับคำสั่งจากทางนิกายให้มาเยี่ยมเยียน” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างราบเรียบ
“นิกายยอดบริสุทธิ์?…… ผู้อาวุโสมีหลักฐานการเป็นศิษย์ของนิกายยอดบริสุทธิ์หรือไม่?” ชายหนุ่มสองคนได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกตกใจมาก ชายหนุ่มที่อายุมากกว่าหน่อยรีบโค้งตัวคารวะ และกล่าวอย่างนอบน้อม
หลังจากออกจากสถานที่ส่งตัว หลิ่วหมิงก็เปลี่ยนมาใส่ชุดธรรมดาเพื่อป้องกันปัญหาต่างๆ รูปร่างหน้าตาก็ดูธรรมดาไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ไม่แปลกที่ทั้งสองจะสงสัย
หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ดวงตาก็เป็นประกาย และยังไม่ทันได้ตอบอะไร ก็พลันมีเสียงราวกับฟ้าผ่าดังออกมา
“บังอาจ! ต่อหน้าฑูตนิกายยอดบริสุทธิ์ อย่าได้พูดสุ่มสี่สุ่มห้า!”
พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง เมฆสีเหลืองก้อนหนึ่งก็ทะยานออกมาตรงหน้า ผู้อาวุโสรูปร่างสูงใหญ่ยืนอยู่บนนั้น
…………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา