หลายวันก่อน หลังกลับถึงนิกายเขาก็ไม่ได้รีบกลับไปยังถ้ำที่พัก แต่กลับไปที่ตลาดในนิกายอีกครั้ง และซื้อผลผลึกเขียวจากร้านต่างๆ มาไม่น้อย
และผลผลึกเขียวที่มีอายุสามร้อยปีนี้ เขาเพิ่งเห็นเป็นครั้งแรก มันพอที่จะทำให้พลังของโอสถเพิ่มขึ้นมามาก เขาย่อมซื้อมันไว้ทั้งหมด หลังจากนั้นถึงขี่เมฆกลับที่พัก
พอเขาเหยียบเข้าไปในถ้ำก็ปิดประตูแน่น หลังจากติดป้ายไม่รับแขกแล้ว ก็ตรงดิ่งไปห้องปรุงโอสถทันที
ครั้งนี้เขาปิดประตูห้องปรุงโอสถนานถึงหนึ่งเดือนกว่า
เมื่อประตูห้องปรุงโอสถเปิดออกมาอีกครั้ง ชายหนุ่มเส้นผมยุ่งเหยิง เสื้อผ้าเก่าๆ และชำรุดเล็กน้อยก็เดินออกมา เขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
และยันต์เก็บของบนเอว ก็มีโอสถผลึกเย็นเพิ่มขึ้นมาสี่สิบกว่าเม็ด
เขาปัดฝุ่นบนเสื้อ และครุ่นคิดอยู่ในห้องโถงครู่หนึ่ง จากนั้นก็หมุนตัวเดินเข้าไปในห้องลับ
ภายในห้องลับ หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่กลางห้อง ตรงหน้ามีกล่องหยกสีขาววางอยู่ใบหนึ่ง โอสถสีเงินแวววาวบรรจุอยู่ในนั้น เขาใช้นิ้วทั้งสองคีบมันขึ้นมาเบาๆ และใส่เข้าไปในปาก จากนั้นก็หลับตาปรับลมหายใจ
โอสถผลึกเย็นไม่เหมือนกับโอสถชนิดอื่นที่เข้าปากแล้วละลายทันที แต่กลับลื่นไหลลงในท้อง ครู่ต่อมา เขารู้สึกว่าไอเย็นยะเยือกแผ่กระจายออกจากช่องท้อง และเริ่มไหลไปตามเส้นลมปราณต่างๆ อย่างไม่ขาดสาย
และจุดตันเถียนในตอนนี้ก็เกิดความอบอุ่นอย่างต่อเนื่อง พลังเวทพุ่งออกจากในนั้นอย่างไม่ขาดสาย และบรรจบเข้าไปในมือเท้าทั้งสี่และกระดูกทั่วร่าง
พอหลิ่วหมิงรู้สึกร้อนไปทั้งตัว ไอเย็นยะเยือกก็รวมตัวกันอย่างรวดเร็วในช่องท้อง…
ภายใต้การหมุนเวียนของความร้อนและความเย็น หลิ่วหมิงก็รับรู้ได้ถึงพลังเวทที่ค่อยๆ เพิ่มพูนขึ้นมา
เขากักตัวเช่นนี้กว่าครึ่งเดือน หลังจากทานโอสถผลึกเย็นไปราวๆ ยี่สิบกว่าเม็ดแล้ว พลังเวทที่ถูกฟองอากาศลึกลับกลืนกินเข้าไป ก็ถูกเสริมขึ้นมาในที่สุด และเขตแดนการฝึกฝนก็กลับมาที่ของเหลวขั้นปลายอีกครั้ง
ขณะนี้ หลิ่วหมิงไม่รีบร้อนออกไปจากห้องลับแต่อย่างใด แต่กลับหลับตาทั้งคู่ลง และพลิกดูเคล็ดกระบี่ปราณแกร่งในจิตรับรู้อย่างอดไม่ได้
ด้วยระดับการฝึกฝนของเขาในตอนนี้ สามารถฝึกกระบี่ได้สองแบบแล้ว
แบบแรกเรียกว่า ‘ดรรชนีกระบี่’ ตามที่บรรยายไว้ในเคล็ดกระบี่ปราณแกร่ง เพียงแค่บ่มเพาะจิตวิญาณตัวอ่อนกระบี่ในร่าง และฝึกฝนพลังเวทจนถึงระดับที่กำหนด ก็ใช้พลังเวทในร่างเลียนแบบปราณกระบี่ และใช้นิ้วพุ่งยิงมันออกมาได้โดยตรง แม้อานุภาพของมันจะไม่แข็งแกร่งเท่ากับการปล่อยออกจากอาวุธกระบี่จริงๆ แต่เหนือกว่าตรงที่สามารถแสดงออกมาได้โดยง่าย ภายใต้สถานการณ์บางอย่าง ก็สามารถจู่โจมจนศัตรูได้รับบาดเจ็บสาหัสโดยไม่รู้ตัว
และพลังมหัศจรรย์ของดรรชนีกระบี่ในคัมภีร์กระบี่ปราณแกร่ง ก็สามารถใช้วิธีการเฉพาะในการฝึกฝน ทำให้ปราณกระบี่ที่ดีดออกจากนิ้วมีลักษณะเป็นเกลียวหมุน ส่งผลให้อานุภาพของมันเหนือกว่าเคล็ดวิชากระบี่ที่มีลักษณะคล้ายๆ กัน
แต่ก็ด้วยเหตุนี้ ดรรชนีกระบี่ปราณแกร่งมีเงื่อนไขต่อระดับความแข็งแกร่งของเส้นลมปราณค่อนข้างสูง หากฝืนฝึกฝนโดยไม่ตรงตามเงื่อนไขหรือระดับการฝึกฝนที่ไม่เหมาะสม อย่างเบาก็ทำให้เส้นลมปราณฉีกขาด อย่างหนักจะทำให้ปราณกระบี่ในร่างสูญเสียการควบคุม และร่างกายระเบิดจนเสียชีวิต ดังนั้นผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลายโดยทั่วไปยังไม่สามารถฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ได้จริงๆ
แต่สำหรับหลิ่วหมิงที่เคยฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำ และเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬมาแล้ว ย่อมไม่อยู่ในขอบเขตนี้
ส่วนพลังมหัศจรรย์แบบที่สอง กลับเป็นพลังกระบี่ร่างเป็นหนึ่งที่หลิ่วหมิงใฝ่ฝันมานานแล้ว
ตอนเจอเย่เทียนเหมยที่เขาลูกข่างหินเป็นครั้งแรกนั้น หลิ่วหมิงได้เห็นความน่ากลัวของวิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่งมากับตา
แต่ว่าพลังมหัศจรรย์เช่นนี้ ต้องฝึกฝนวิชาขี่กระบี่ให้บรรลุขั้นต้นเสียก่อน จึงจะแสดงออกมาได้
แม้หลายปีมานี้หลิ่วหมิงจะไม่ได้ฝึกฝนวิชากระบี่อย่างจริงจัง แต่เขาใช้วิชาขี่กระบี่ในขณะต่อสู้บ่อยมาก บวกกับการต่อสู้กับปีศาจหลานสี่ในแดนมายาของดวงมายาปีศาจ ยิ่งทำให้เขาใช้วิชาขี่กระบี่จนนับครั้งไม่ถ้วน
เขามีความเชื่อมั่นว่ามันเข้าถึงขั้นต้นแล้ว ดังนั้นวิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่ง ก็สามารถฝึกฝนได้เช่นกัน
และหากเขาฝึกฝนวิชานี้แล้ว ทุกวันจะต้องหยดโลหิตบริสุทธิ์ใส่กระบี่หนึ่งหยด และใช้เคล็ดวิชาที่กล่าวไว้ในเคล็ดกระบี่ปราณแกร่ง ปรับแต่งกระบี่นี้ด้วยตนเองเป็นเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืน ถึงจะสำเร็จในเบื้องต้น
พูดในบางมุมมองได้ว่า แท้จริงแล้วพลังมหัศจรรย์นี้ เป็นแค่พื้นฐานวิชาขี่กระบี่เหินเวหาที่แท้จริงเท่านั้น
ดังนั้นหลิ่วหมิงจึงจดจำเคล็ดวิชาทั้งสองแบบอย่างเงียบๆ และเตรียมใช้วัตถุดิบที่เหลือทั้งหมดมาปรุงโอสถ ขณะเดียวกันก็ฝึกฝนเคล็ดกระบี่ทั้งสองแบบไปด้วย
หนึ่งเดือนต่อมา มีเสียงระเบิดดัง “ตูมตาม!” อยู่ในห้องลับ
ระหว่างเวลานี้ นอกจากหลิ่วหมิงจะปรุงโอสถผลึกเย็นแล้ว เวลาที่เหลือก็ทำความเข้าใจและฝึกฝนพลังของดรรชนีนีกระบี่ ดูเหมือนว่าจะถึงขั้นที่สามารถแสดงออกมาได้แล้ว
หลิ่วหมิงที่อยู่ในห้องลับ ชี้นิ้วข้างหนึ่งไปบนก้อนหินยักษ์ตรงมุมห้องเบาๆ และดีดนิ้วออกไป
“ฟิ้ว!” ปราณกระบี่สีขาวพุ่งยิงออกไป ก้อนหินยักษ์ถูกแทงทะลุ ทิ้งรูขนาดชุ่นกว่าๆ ไว้
หลิ่วหมิงยิ้มมุมปากเล็กน้อย เขายกแขนดีดนิ้วใส่หินยักษ์อยู่หลายครั้ง
เกิดเสียงดังกึกก้อง!
ปราณกระบี่แต่ละสายพุ่งออกจากปลายนิ้วติดต่อกัน และกระพริบหายไปในก้อนหินยักษ์ทั้งหมด
ครู่ต่อมา ก็มีรูขนาดครึ่งชุ่นห้ารูปรากฏอยู่บนก้อนหิน แต่รูเหล่านี้ลึกแค่ชุ่นกว่าๆ เท่านั้น ซึ่งยังไม่แทงทะลุก้อนหินไป
พลังดรรชนีกระบี่นี้ หากปล่อยออกไปเพียงนิ้วเดียว ปราณกระบี่ที่ก่อตัวขึ้นมาจะมีอานุภาพรุนแรงกว่ามาก
แต่หากปล่อยออกไปติดต่อกัน แม้มันจะมีอานุภาพน้อยกว่า แต่กลับลดเวลาในการก่อตัวลงไปมาก ดูเหมือนจะใช้เวลาในการก่อตัวและยิงออกไปแค่พริบตาเดียว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา