แม้เขาจะไม่ได้มุ่งหวังสิ่งนี้ แต่หากมีสมบัติล้ำค่าอย่างอื่น ก็ไม่อยากพลาดโอกาสอันดีไป
เพราะขนาดของงานประมูลในครั้งนี้ ไม่ได้สิ่งที่สามารถพบเจอได้บ่อย
หากจะหาหินจิตวิญญาณจำนวนมากภายในเวลาหนึ่งเดือนกว่า วิธีการเดียวก็คือต้องหลอมโอสถผลึกเย็นระดับสูงให้มาก ซึ่งแต่ละเม็ดมีมูลค่าหลายแสนหินจิตวิญญาณ แม้ว่าจะไม่สามารถขายออกไปในได้ช่วงเวลานี้ แต่คิดว่าคงเป็นหลักค้ำประกันได้ไม่น้อย หรือไม่ก็ใช้สิ่งของแลกสิ่งของจำนวนหนึ่งที่เขาต้องการได้
หลิ่วหมิงวางแผนไว้ในใจ หลังจากสอบถามรายละเอียดของการประมูลอย่างละเอียดแล้วก็ลาจากไป
เขาไม่ได้รีบร้อนกลับไปเรือนร้อยหลอม แต่กลับปลอมตัวเป็นชายฉกรรจ์หน้าดำคนหนึ่ง
ขณะนี้ ในมือเขามีวัตถุดิบเสริมไม่น้อยแล้ว แต่วัตถุดิบหลักอย่างผลผลึกเขียวกลับไม่มีเลย
หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอยู่ในใจ จากนั้นก็นำโอสถระดับสูงเหล่านั้น ไปหาร้านโอสถที่มนุษย์เผ่าค้างคาวเปิดขึ้นมา
พอเขาเหยียบเข้าไปในร้าน ชายเผ่าค้างคาวก็เดินออกมาต้อนรับจากหลังตู้บางแห่งด้วยความดีใจ
“พวกเราขึ้นไปคุยกันด้านบนเถอะ!” หลิ่วหมิงยังไม่ทันเอ่ยปาก เถ้าแก่มนุษย์เผ่าค้างคาวผู้นี้ก็เชิญหลิ่งหมิงขึ้นด้านบนโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
หลิ่วหมิงได้ยินก็ยิ้มเล็กน้อย แต่ก็เดินขึ้นหอโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา
ในขณะเดียวกัน ชายวัยกลางคนที่เหมือนกำลังจัดการกับวัตถุดิบในร้านอยู่ ก็เงยหน้ามองชายฉกรรจ์ที่หลิ่วหมิงปลอมตัวมาทีหนึ่ง จากนั้นก็ก้มหน้ายุ่งกับงานที่อยู่ในมือต่อ
ผ่านไปราวๆ หนึ่งถ้วยชา ห้องลับบนชั้นสามที่ค่อนข้างหรูหราห้องหนึ่ง
ชายชุดดำกำลังจ้องมองหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าลำบากใจ และบนโต๊ะก็มีกล่องหยกที่เปล่งแสงสีเขียววางอยู่ ในกล่องหยกเป็นโอสถผลึกเย็นระดับธรรมดาสิบกว่าเม็ดที่หลิ่วหมิงปรุงขึ้นมาในช่วงนี้
“สหายเย่ แม้โอสถผลึกเย็นสิบกว่าเม็ดนี้จะเทียบกับผลผลึกเขียวพันปีลูกหนึ่งได้ แต่ทางเผ่าได้เตรียมผลผลึกเขียวที่เก็บเอาไว้ไปประมูล ข้าน้อยจึงไม่อาจตัดสินใจในเรื่องนี้ได้ ขอสหายโปรดให้อภัย!” เถ้าแก่ร้านเผ่าค้างคาวค่อยๆ ผลักกล่องคืนให้หลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็ค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา หลังจากลูบคางแล้ว ก็เผยสีหน้าราวกับกำลังคิดอะไรอยู่
“แต่หากสหายนำโอสถระดับพสุธาขึ้นไปออกมาแลก บางทีอาจจะเปลี่ยนความคิดของเผ่าได้ ในเมื่อผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถที่อยู่เบื้องหลังของสหาย สามารถปรุงโอสถธรรมดาออกมาได้มากมายเช่นนี้ คิดว่าคงจะมีโอสถระดับพสุธาขึ้นไปออกจากเตาด้วยใช่หรือไม่?” เถ้าแก่เผ่าค้างคาวพลันเปลี่ยนหัวข้อสนทนา และพูดหยั่งเชิงดูเบาๆ
หลิ่วหมิงไม่ตอบคำถามของฝ่ายตรงข้าม แต่กลับยกชาขึ้นมาจิบและเงียบไปอยู่ครู่หนึ่ง
ชายเผ่าค้างคาวก็รอคอยด้วยความตื่นเต้น
เวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชา ดูเหมือนหลิ่วหมิงจะตัดสินใจได้ หลังจากอุทานออกมาเบาๆ แล้ว ก็หยิบหล่องหยกสีขาวหิมะอีกใบออกจากแขนเสื้อมาวางไว้บนโต๊ะ
หลังจากใช้แขนเสื้อสัมผัสเบาๆ กล่องหยกก็ค่อยๆ เปิดออกมา พอไอเย็นม้วนตัวขึ้น แสงสีเขียวก็เปล่งประกายตามมา
โอสถสีเขียวที่มีลายโอสถสี่เส้นปรากฏอย่างชัดเจนถูกวางอยู่ในกล่อง
“โอสถพสุธา!”
เถ้าแก่เผ่าค้างคาวหลุดปากด้วยความตกใจ จากนั้นก็กล่าวด้วยสีหน้าดีใจเป็นอย่างมาก
“ขอสหายเย่รอสักครู่ ข้าจะไปรายงานเรื่องนี้ให้กับเผ่า”
พอกล่าวจบ เถ้าแก่เผ่าค้างคาวก็โบกมือข้างหนึ่ง จากนั้นแผ่นค่ายกลแปลกประหลาดที่มีขนาดชุ่นกว่าๆ ก็พุ่งออกจากแขนเสื้อ หลังจากหมุนติ้วๆ อยู่กลางอากาศแล้ว ก็ขยายใหญ่ฉื่อกว่าๆ ก่อนตกลงบนมือ
จากนั้นชายผู้นี้ก็ร่ายคาถาออกมา พอทำท่ามือ อักขระเล็กๆ แถวหนึ่งก็จมหายไปในแผ่นค่ายกล ครู่ต่อมา เขาก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่งอีกครั้ง
แผ่นค่ายกลส่งเสียงดังหวึ่งๆ จากนั้นก็ลดขนาดเหลือชุ่นกว่าๆ ก่อนพุ่งกลับเข้าไปแขนเสื้อ
“สหาย ทางเผ่าได้รับรายงานจากข้าแล้ว และจะส่งคนมาโดยเร็ว ขอสหายรอซักพัก”
หลิ่วหมิงพยักหน้าและเก็บกล่องหยกเข้าไป จากนั้นก็หลับตาทั้งคู่ลง และนั่งสมาธิด้วยสีหน้าสงบ
ผ่านไปไม่นาน หญิงวัยกลางคนที่สวมชุดดำ มีผ้าสีดำปิดหน้าก็เดินขึ้นมาด้านบน และผลักประตูออกเบาๆ
หลิ่วหมิงใช้จิตกวาดดูเล็กน้อย ก็รู้สึกว่ากลิ่นไอของนางผู้นี้ไม่อาจคาดเดาได้ อย่างน้อยคงอยู่ที่ระดับผลึก
“คิดว่าท่านนี้คงเป็นสหายเย่สินะ ข้ามาช้าไปหน่อย ทำให้สหายต้องรอนานแล้ว” หญิงวัยกลางคนหัวเราะทีหนึ่ง และคารวะหลิ่วหมิง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา