ครู่ต่อมา แสงสีดำก็เปล่งประกายเหนือป่า จากนั้นร่างของเขาก็ปรากฏออกมา พอมองลงไปด้านล่างก็ต้องรู้สึกตกตะลึงขึ้นมา
จะเห็นว่าบนพื้นสูงที่อยู่ในป่า ชายแซ่หัวแห่งหอร้อยหลอมผู้นั้นกับผู้ฝึกฝนวัยกลางคนผู้หนึ่ง ต่างก็โบกสะบัดธงค่ายกลจนเหงื่อเปียกโชก และร่วมมือกันกระตุ้นค่ายกลป้องกันชั่วคราวอยู่
แต่ลำแสงสิบกว่าลำที่พุ่งออกมาทั่วทิศ ดูระเกะระกะเล็กน้อย มันค้ำยันม่านแสงสีขาวที่ปกคลุมทั้งสองไว้
และด้านข้างของทั้งสอง ยังมีชายชุดเทาที่โชกไปด้วยเลือดนอนหลับตาอยู่ โดยไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร
ด้านนอกค่ายกล ชายฉกรรจ์ใบหน้าหยินหยางกำลังปล่อยกำปั้นโจมตีม่านแสงอยู่ไม่หยุด
ท่ามกลางเสียงที่ดังโครมคราม ม่านแสงก็ดูท่าจะพังมิพังแหล่
แต่ขณะที่มีเสียงดังก้องเข้ามานั้น คนทั้งสองที่อยู่ในค่ายกลก็สังเกตเห็นหลิ่วหมิงที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว จนต้องหันมาดูอย่างอดไม่ได้
“ท่านทูตหลิ่ว!” พอชายแซ่หัวเห็นหลิ่วหมิง เขาก็ตะโกนออกมาด้วยความดีใจ
หลิ่วหมิงเคลื่อนไหวไม่กี่ที ก็มาหยุดอยู่เหนือค่ายกล พอก้มหน้ามองแล้วเห็นว่าคนผู้นี้ไม่เป็นอะไรแล้ว ก็กวาดสายตามองชายฉกรรจ์ใบหน้าหยินหยางอย่างรวดเร็ว
คนผู้นี้ไม่ได้ใช้อาวุธจิตวิญญาณใดๆ อาศัยแต่พลังของตนเองก็สามารถสั่นสะเทือนค่ายกลป้องกันทั้งหลังได้ ทำให้หลิ่วหมิงไม่อาจดูเบาได้
อย่างที่รู้ว่า แม้ค่ายกลชุดนี้จะไม่มีจุดพิเศษอะไร แต่มันเป็นสิ่งที่นิกายยอดบริสุทธิ์มอบให้ศิษย์จำนวนหนึ่งที่ตั้งมั่นอยู่ภายนอกใช้ป้องกันศัตรูแข็งแกร่งได้ชั่วคราว โดยทั่วไปแล้ว ผู้ฝึกฝนระดับผลึกลงไปก็ไม่อาจทำลายได้อย่างรวดเร็ว
แต่ว่าในขณะที่สายตาหลิ่วหมิงตกอยู่บนใบหน้าขาวดำของชายฉกรรจ์นั้น สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนไป และเอ่ยปากออกมาทันที
“ปีศาจหยินหยาง!”
“อ้อ! คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะจำข้าได้ เจ้าก็คงเป็นคนของนิกายยอดบริสุทธิ์ ทั้งยังเป็นศิษย์สายนอกด้วย ดีมาก! ดูท่าวันนี้ข้าจะเก็บเกี่ยวได้ไม่น้อย” พอชายฉกรรจ์หน้าหยินหยางได้ยิน ก็หยุดปล่อยกำปั้นและเงยหน้าไปมองหลิ่วหมิง ดวงตาที่มีขนาดใหญ่ราวกับระฆังทองแดงฉายแววอาฆาตแค้นออกมา
หลิ่งหมิงทำเสียงฮึดฮัดและไม่ตอบคำถามแต่อย่างใด พอไอดำบนตัวพวยพุ่ง ร่างของเขาก็กระโจนมาจากบนอากาศอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็พุ่งลงมาถึงเหนือศีรษะของชายฉกรรจ์ และทุบกำปั้นลงมาทันที
เงากำปั้นสีดำกลุ่มหนึ่งเปล่งประกายออกมา
ดูเหมือนปีศาจหยินหยางจะนึกไม่ถึงว่าหลิ่วหมิงจะเคลื่อนไหวได้รวดเร็วเช่นนี้ ใบหน้าของมันจึงเผยความประหลาดใจออกมา แต่ก็ยังปล่อยกำปั้นออกไปรับอย่างไม่หวาดกลัว ทำให้มีเปลวไฟสีเขียวอยู่ในเงาของกำปั้นขนาดใหญ่อย่างรำไร
“ตู้ม!” พอแสงสีดำปะทะกับเปลวไฟสีเขียว มันก็แยกตัวออกจากกันทันที
ชายฉกรรจ์หน้าหยินหยางต้องร่นถอยออกไปสิบกว่าก้าวถึงจะตั้งหลักได้ และสีหน้าของเขาก็ดูอึมครึมขึ้นมา
และอีกด้านหนึ่ง ร่างของหลิ่วหมิงเปลี่ยนทิศทางกลางอากาศเบาๆ ทำให้พลังของปีศาจหยินหยางหายไป และค่อยๆ ร่อนลงหน้าค่ายกลราวกับขนปุยสีขาว
ครั้งนี้เขาใช้พลังสลายพลังอย่างคล่องแคล่ว ซึ่งเป็นความสามารถที่ได้มาจากการต่อสู้กับหลานสี่หลากหลายครั้งในแดนมายา
ขณะนี้ ไอดำที่พวยพุ่งอยู่บนตัวเขาได้กลายเป็นมังกรหมอกสองตัวกับพยัคฆ์อีกหนึ่งตัวแล้ว ทั้งยังส่งเสียงคำรามใส่ชายฉกรรจ์หน้าหยินหยางอยู่พักหนึ่ง
“เคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ!” ดูเหมือนชายฉกรรจ์หน้าหยินหยางจะจำวิชานี้ได้ ใบหน้าสีดำขาวของเขาบิดเบี้ยวเล็กน้อย จากนั้นก็หมุนตัวกลายเป็นแสงสีเขียวแล้วพุ่งหนีไปไกลๆ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นก็หันมากล่าวกับคนทั้งสอง
“ผู้เชี่ยวชาญหัว พลังเวทของพวกเจ้าหมดสิ้นไปแล้ว รีบกลับไปที่ตลาดเถอะ ข้าจะไปตามมนุษย์ปีศาจผู้นั้นเอง”
กล่าวจบก็ไม่รอคำตอบจากทั้งสอง พอแสงสีดำบนตัวเปล่งประกาย เขาก็ทะยานขึ้นฟ้าในทันที และพุ่งไปทางที่ปีศาจหยินหยางหนีไป
ปีศาจหยินหยางที่จัดอยู่ในอันดับที่สามสิบนี้ นิกายยอดบริสุทธิ์ประกาศให้รางวัลนำจับสามหมื่นแต้มคุณูปการ โอกาสอันดีเช่นนี้ หลิ่วหมิงย่อมไม่ปล่อยไปโดยง่าย
เพราะเขายังติดหนี้แต้มคุณูปการอยู่เป็นจำนวนมาก
บนพื้นที่สูงในป่า ผู้เชี่ยวชาญหัวกับสหายต่างก็มองหน้ากันอย่างอดไม่ได้ เหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันเช่นนี้ ทั้งสองยังไม่ทันรู้สึกตัว หลิ่วหมิงกับชายฉกรรจ์หน้าหยินหยางก็หายไปอย่างรวดเร็วแล้ว
ทั้งสองสามารถเอาชีวิตรอดจากความตายมาได้ ไหนเลยจะกล้าอยู่ที่นี่นานอีกต่อไป หลังจากเก็บธงค่ายกลบนพื้นอย่างรีบร้อนแล้ว ก็พุ่งกลับไปทางตลาดทันที
พริบตาเดียว หลิ่วหมิงก็ตามล่าปีศาจหยินหยางออกไปไกลร้อยกว่าลี้แล้ว
เขาจ้องมองแสงสีเขียวตรงหน้าด้วยความฉงน
ตั้งแต่ปีศาจหยินหยางเริ่มต้นหลบหนี ความเร็วของเขาก็ประเดี๋ยวช้าประเดี๋ยวเร็ว ตอนนี้กลับช้าลงไปสองสามส่วน ดูเหมือนว่าจะไม่ได้หลบหนีจริงๆ แต่เหมือนจะล่อให้เขาออกไปไกลจากตลาดฉางหยางหน่อย
แม้ไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามคิดจะทำอะไร แต่การแลกมือในก่อนหน้า หลิ่วหมิงก็รับรู้ได้ว่าคนผู้นี้มีการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลาย เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ฝึกฝนระดับเดียวกัน เขาย่อมไม่รู้สึกหวาดกลัวแม้แต่น้อย ทันใดนั้นก็กระตุ้นแสงหลบหลีกไล่ตามไปทันที
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป แสงสีเขียวตรงหน้าก็หยุดชะงักอยู่บนอากาศเหนือยอดเขาลูกหนึ่งในฉับพลัน พอแสงดับลงก็เผยให้เห็นร่างของปีศาจหยินหยางที่ยืนยิ้มอย่างน่าเกลียดโดยที่เอามือไขว้หลังไว้
บริเวณที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าจั้ง พอแสงสีดำเปล่งประกาย หลิ่วหมิงเองก็หยุดแสงหลบหลีกลง และยืนคุมเชิงกันอยู่
พอเขาร่อนลงพื้นก็ปล่อยพลังจิตอันแข็งแกร่งออกไปสำรวจดูพื้นที่ในระยะหลายลี้อย่างละเอียด
เขาค้นพบว่าพื้นที่บริเวณนี้รกร้างว่างเปล่า นอกจากสัตว์ป่าไม่กี่ตัวแล้ว ก็ไม่ค้นพบอะไรที่ผิดปกติเลย ตอนนี้เขามองชายฉกรรจ์ที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา
“เจ้าฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬของนิกายยอดบริสุทธิ์ คงเป็นศิษย์สายในสินะ? จุ๊ๆ! ข้ายังไม่เคยฆ่าศิษย์สายในเลยนะ วันนี้นับว่าเป็นครั้งแรก” ชายฉกรรจ์บดฟันของเขา และจ้องมองหลิ่วหมิงราวกับจ้องมองลูกแกะที่รอเชือด
“เจ้าล่อข้ามาถึงที่นี่ คงกลัวว่าจะดึงดูดความสนใจของยอดฝีมือระดับแก่นแท้เหล่านั้นสินะ?” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้าสงบ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา