แต่เนื่องจากการทำนายเป็นการกระทำที่ขัดต่อฟ้า ดังนั้นการทำนายในแต่ละครั้งโหราจารย์จะได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก โหราจารย์จะต้องสูญเสียอายุขัยจำนวนมากเป็นข้อแลกเปลี่ยน ถึงทำนายอนาคตได้อย่างลางๆ และไม่สามารถทำนายออกมาตรงๆ ได้ แม้จะมีโหราจารย์จำนวนมาก แต่ผู้ที่ยอมทำนายให้คนอื่นนั้นกลับมีอยู่น้อยมาก
อีกจุดหนึ่ง หากผู้ทำนายกับผู้ถูกทำนายเป็นสายเลือดเดียวกัน ผลที่ทำนายออกมาถึงจะแม่นยำขึ้นเล็กน้อย มิเช่นนั้นผลการทำนายจะผิดเพี้ยนไป
ดังนั้นตระกูลมีชื่อเสียงจำนวนหนึ่ง มักจะให้โหราจารย์ในตระกูลทำนายความเจริญรุ่งเรืองและความเสื่อมโทรมในอนาคตโดยไม่เสียดายอายุขัย เพื่อวางแผนรับมือล่วงหน้า เพราะการทำนายเป็นการเสี่ยงทายตามผังปากว้าในอนาคตเท่านั้น หากหลังจากนี้มีเหตุการณ์อะไรบางอย่างเปลี่ยนแปลง สถานการณ์ในอนาคตย่อมมีการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย
แต่ว่ามีโหราจารย์ที่แข็งแกร่งจำนวนหนึ่ง มีลางเกี่ยวกับเรื่องราวบางอย่างโดยไม่ตั้งใจ ทั้งยังแม่นยำยิ่งนัก และไม่ทำให้สูญเสียอายุขัยเลยแม้แต่น้อย
โหราจารย์แข็งแกร่งของตะกูลโอวหยางผู้หนึ่ง ที่ค่อนข้างมีสายเลือดใกล้ชิดกับหญิงสาวชุดม่วง ได้เกิดภาพนิมิตเกี่ยวกับนางโดยไม่ตั้งใจ และทำนายว่านางอาจจะพบเจอกับโอกาสอันยิ่งใหญ่ในตลาดฉางหยาง
มิเช่นนั้นหญิงสาวจะออกจากตระกูลโอวหยางมาอย่างง่ายดายได้อย่างไร
“ลำบากผู้เฒ่าเฉียวแล้ว คิดว่าท่านควบคุมค่ายกลคงเสียพลังเวทไปไม่น้อย รีบไปพักผ่อนเถอะ หากโอกาสนั้นมาถึงจริงๆ ล่ะก็ ข้ายังต้องให้ท่านช่วยอีกครา!” หญิงสาวชุดม่วงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“ขอบคุณคุณหนูที่เป็นห่วง ถ้าอย่างนั้นคนแก่อย่างข้าก็ขอลาแล้ว” เฉียวจื้ออีพยักหน้าแล้วถอยออกไป
ภายในห้องลับชั้นบนสุดของโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง
ชายหนุ่มชุดเขียวนิกายปีศาจลี้ลับผู้นั้น กำลังฝึกควบคุมหุ่นนักรบทั้งสี่ที่เพิ่งได้มาใหม่อยู่
จะเห็นว่าหุ่นนักรบสี่ตัวที่สูงจั้งกว่าๆ ได้ยืนก่อตัวเป็นค่ายรบหลังหนึ่ง ภายใต้การกระตุ้นเคล็ดวิชาของชายหนุ่มชุดเขียว ร่างของมันก็พร่ามัวเปลี่ยนตำแหน่งไปมา ดวงตาสีแดงทั้งคู่เปล่งประกาย
ในขณะที่ดวงตาสีแดงทั้งคู่เปล่งประกายนั้น มือทั้งสองก็โบกสะบัดอย่างรวดเร็วจนแม้แต่พายุก็ไม่สามารถทะลุผ่านไปได้ การโจมตีและการป้องกันรวมกันเป็นหนึ่ง จนดูเหมือนไม่มีช่องโหว่เลยแม้แต่น้อย
ทันใดนั้น พอเขายกมือข้างหนึ่งขึ้นมา ลมเย็นก็พัดผ่านไป หุ่นนักรบสี่ตัวเปล่งแสงสีทองออกมารอบตัว พริบตาเดียวก็กลายเป็นมุกสีเหลืองขนาดชุ่นกว่าๆ และม้วนเข้าไปในแขนเสื้อของเขา
ขณะนี้ชายหนุ่มชุดเขียวถึงเผยสีหน้าพอใจออกมา เขาพลิกฝ่ามือหยิบเศษกระจกโบราณออกมาจากอก หลังจากมองดูอย่างละเอียดแล้วก็ใส่กลับเข้าไปที่เดิม จากนั้นก็หัวเราะเบาๆ ก่อนเดินออกไปจากห้องลับ
“หุ่นนักรบทั้งสี่นี้ ข้าคุ้นเคยกับการควบคุมแล้ว หากใช้มันพร้อมกัน พลังของพวกมันก็จะบรรลุถึงระดับผลึกขั้นต้นได้ ซึ่งไม่ด้อยไปกว่าข้ากับเจ้าเลย ข้าตัดสินใจออกไปคนเดียวชั่วระยะเวลาหนึ่ง เจ้าไม่ต้องตามข้าแล้ว” ชายหนุ่มชุดเขียวพูดกับชายฉกรรจ์ระดับผลึกที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูผู้นั้น
“ไม่ทราบคุณชายจะเป็นที่ไหนคนเดียวหรือ?” ชายฉกรรจ์ส่งเสียงแหบแห้งออกมาเบาๆ
“ผู้อาวุโสตันเถิงไม่ได้บอกไว้หรือ ช่วงนี้อาจจะมีสมบัติล้ำค่าปรากฏตัวบริเวณตลาดฉางหยาง ข้ารออยู่ที่นี่มาตั้งครึ่งปีแล้ว มันน่าเบื่อเกินไป วันนี้มีหุ่นนักรบทั้งสี่อยู่ข้างกาย จึงวางแผนไปเดินดูบริเวณนี้สักหน่อย เพื่อดูว่าจะได้พบกับโอกาสอันยิ่งใหญ่นั้นหรือไม่ อีกอย่างจะได้ถือโอกาสฆ่าผู้ฝึกฝนนิกายยอดบริสุทธิ์สองสามคน เพื่อระบายความแค้นของคนที่ตามฆ่าก่อนหน้า” ชายหนุ่มชุดเขียวทำเสียงฮึดฮัดแล้วกล่าวออกมา
“ถ้าอย่างนั้นคุณชายต้องระวังตัวให้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่าได้ลงมือใกล้ตลาดฉางหยางจนเกินไป เพราะในตลาดมีผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ขึ้นไปประจำการอยู่” ชายฉกรรจ์ไม่ได้เอ่ยปากห้ามแต่อย่างใด เพียงแค่เตือนให้ระวังเล็กน้อยเท่านั้น
“เรื่องนี้ข้าย่อมรู้ดี” ชายหนุ่มชุดเขียวหัวเราะฮ่าๆ จากนั้นก็หายวับไปจากประตูห้องลับ
ผ่านไปซักพัก ชายหนุ่มชุดเขียวผู้หนึ่งก็มาปรากฏตัวท่ามกลางป่าที่เขียวชอุ่มเป็นดง
หลังจากมองดูรอบๆ และเห็นว่าไม่มีคนอื่นแล้ว ชายหนุ่มชุดเขียวก็หัวเราะเฮ่อๆ! และเอามือข้างหนึ่งลูบหน้า
ครู่ต่อมา มีเสียงดังเปรี๊ยะๆ! ดังออกจากร่างของชายหนุ่มอยู่ชั่วขณะหนึ่ง และร่างของเขาก็ขยายใหญ่หลายเท่า พริบตาเดียวก็กลายเป็นชายฉกรรจ์ร่างยักษ์ และเมื่อเขาเอามือออกจากหน้า หน้าของเขาก็กลายเป็นใบหน้าหยินหยางที่มีสีขาวกับสีดำ
หากมีศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์อยู่ที่นี่ ก็จะจำใบหน้าหยินหยางนี้ได้ ซึ่งก็คือปีศาจหยินหยางที่มีชื่ออยู่ในอันดับที่สามสิบของบัญชีความเป็นความตายนั่นเอง
คนผู้นี้ได้ชื่อมาจากใบหน้าหยินหยางแปลกประหลาด แต่พลังสายปีศาจก็ไม่ธรรมดา ทั้งยังมีพลังมหาศาล เขาเคยสังหารศิษย์สายนอกของนิกายยอดบริสุทธิ์เจ็ดคนในทีเดียว การลงมือโหดเหี้ยมยิ่งนัก พลังก็น่าตกใจเป็นอย่างมาก
หลายปีก่อน คนผู้นี้เคยเจอกับกู่เทียนฉีที่เป็นศิษย์สายในของนิกายยอดบริสุทธิ์ในสถานที่บางแห่ง และเขาถูกไล่ล่า หลังจากหลบหนีอยู่หลายวัน แม้จะอาศัยวิชาแปลกประหลาดบางอย่างหลบหนีรอดมาได้ แต่เนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงหายตัวไปตั้งแต่ตอนนั้น
“เฮ่อๆ! เจ้าพวกสวะนิกายยอดบริสุทธิ์ วันนี้เอาเลือดมาเซ่นไหว้ข้าซะ วิชาปีศาจของข้าจะได้รุดหน้าไปอีกขั้น” ชายฉกรรจ์หน้าหยินหยางหัวเราะอย่างน่าเกลียด หลังจากเลียริมฝีปากแล้ว ร่างของเขาก็พร่ามัวหายไป
หนึ่งชั่วยามต่อมา ใต้ตีนยอดเขาสูงเสียดฟ้าที่อยู่ห่างจากตลาดฉางหยางไปหลายสิบลี้ ชายหนุ่มร่างเตี้ยเล็กที่สวมชุดศิษย์ธรรมดาของนิกายยอดบริสุทธิ์กับชายหนุ่มชุดขาวกำลังเดินคุยกันอยู่
ทันใดนั้นลมเย็นก็พัดผ่านไป ต่อมาชายฉกรรจ์หน้าหยินหยางอัปลักษณ์ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าทั้งสอง
“ปีศาจหยินหยาง!” ชายร่างเตี้ยเล็กเห็นเช่นนี้ก็หลุดปากร้องออกมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา