ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 55

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 55 หน้าไม้อาญาสิทธิ์กับลูกดอกยิงสุริยัน
ตอนที่ 55 หน้าไม้อาญาสิทธิ์กับลูกดอกยิงสุริยัน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ทั้งสองวิธีการนี้ต่างก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ส่วนจะเลือกใช้วิธีการใดนั้นแน่นอนว่าย่อมต้องเลือกด้วยตนเอง

แต่โดยทั่วไปแล้ว วิชาสื่อสารจิตวิญญาณไม่สามารถฝึกได้ถึงระดับที่สูงได้ ศิษย์ในนิกายที่ไม่ขาดแคลนหินจิตวิญญาณต่างก็ย่อมเลือกวิธีแรก

นอกจากต้องจ่ายราคาจำนวนมากเพื่อสร้างหุ่นปีศาจแล้ว การฝึกควบคุมวิญญาณนักรบระดับต่ำตนหนึ่งสำหรับพวกเขาแล้วนับว่าเป็นเรื่องที่ง่ายมาก

และศิษย์ผู้ที่เชี่ยวชาญวิชาสื่อสารจิตวิญญาณทั้งหลาย แต่มีหินจิตวิญญาณไม่มากก็จะเลือกวิธีการที่สองในการหาปีศาจ

วิธีการนี้นอกจากจะต้องจ่ายแต้มคุณูปการเพื่อเข้าไปในแดนปีศาจปรโลกแล้วก็ไม่มีค่าใช้จ่ายอื่นใดอีก และถ้าหากว่าบังเอิญหาปีศาจที่มีพลังสูงเล็กน้อยได้ตนหนึ่ง ไม่แน่อาจจะพัฒนาเป็นปีศาจระดับขุนพลหรือแม่ทัพได้

ถ้าหากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ พลังของศิษย์เหล่านี้ก็จะเพิ่มขึ้นหลายเท่าอย่างรวดเร็ว ตำแหน่งในนิกายก็เปลี่ยนไปราวกับพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ

ตัวอย่างแบบนี้มีให้เห็นในนิกายอยู่ไม่น้อย

ดังนั้นตอนนี้ผู้ที่ค่อนข้างเชื่อมั่นในวิชาสื่อสารจิตวิญญาณของตนเอง เจ็ดถึงแปดในสิบคนต่างก็เลือกเข้าสู่แดนปรโลกเพื่อหาปีศาจสื่อสารจิตวิญญาณที่เหมาะสม

เวลาก่อนหน้านี้ หลิ่วหมิงนอกจากทำภารกิจของนิกายจนได้รับหินจิตวิญญาณตอบแทนหลายร้อยก้อนแล้ว สิ่งที่มีอยู่ในมือก็นับว่ายังมีไม่มากพอ แน่นอนว่าย่อมตัดสินใจเลือกวิธีการที่สอง

แต่พอเขาคิดถึงจุดที่ว่าการจะใช้ค่ายกลเพื่อเข้าไปแดนปีศาจปรโลกหนึ่งครั้งนั้น จะต้องใช้แต้มคุณูปการหนึ่งร้อยแต้ม ในใจเขาก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา

แต้มคุณูปการหนึ่งร้อยแต้มนี้ โดยทั่วไปต้องทำภารกิจแต้มคุณูปการสามสิบกว่าครั้ง และต้องสำเร็จทุกครั้งถึงจะสะสมมาได้ มันดูเหมือนกับมากกว่าแต้มคุณูปการที่เขามีอยู่ในมือกว่าครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว

หลิ่วหมิงคิดมาถึงจุดนี้ ก็ได้แต่ตำหนิเรื่องนี้อยู่ในใจสองสามประโยค แล้วถึงจะเรียกสติกลับมายังเคล็ดวิชาสื่อสารจิตวิญญาณที่กำลังทำความเข้าใจอยู่ได้

การฝึกฝนวิชาสื่อสารจิตวิญญาณทั้งหมดนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่มีการแบ่งเป็นขั้นๆ ก็เหมือนกับฝึกฝนวิชาอื่นๆ แค่เพิ่มการฝึกฝนให้มากขึ้นแล้ว ก็สามารถยกระดับความสามารถในการควบคุมและการสื่อสารระหว่างเขากับปีศาจได้

หลังเจ็ดแปดวันผ่านไป เขาทำความเข้าใจในเคล็ดวิชาได้ทั้งหมด และท่องจำเคล็ดวิชาในนั้นได้หมดทุกตัว

เวลาที่เหลือในอีกหลายเดือน หลิ่วหมิงฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำอย่างหนัก และฝึกฝนวิชาสื่อสารจิตวิญญาณไปด้วย

พอเขารู้ตัวว่าสามารถยึดกุมวิชานี้ในขั้นเบื้องต้นได้แล้ว ในที่สุดก็ขี่เมฆเหาะไปจากที่พัก มุ่งตรงไปยังยอดเขาหลักของนิกายปีศาจ

ก่อนที่เขาจะเลือกเข้าไปยังแดนปีศาจปรโลก จะต้องไปทดสอบวิชาสื่อสารจิตวิญญาณเสียก่อนว่าได้ผลอย่างไรบ้าง มิเช่นนั้นถ้าหากว่าทำความเข้าใจเคล็ดวิชานี้ผิดแล้วมันใช้ไม่ได้ผลล่ะก็ เท่ากับว่าต้องเสียแต้มคุณูปการไปเปล่าๆ หนึ่งร้อยแต้ม

และในนิกายปีศาจก็มีสถานที่แบบนี้อยู่ที่หนึ่งที่คุมขังวิญญาณชั้นต่ำและอสูรที่จับมา ซึ่งนิกายอนุญาตให้ศิษย์มาทดสอบวิชาและฝึกต่อสู้ได้

ครึ่งวันผ่านไป หลิ่วหมิงเหาะออกมาจากหอใหญ่ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความพอใจ

เขาใช้แต้มคุณูปการไปสามแต้มทดสอบปีศาจที่แตกต่างกันสามชนิด ทั้งหมดนี้เขาต่างก็สามารถสยบมันและควบคุมมันได้อย่างราบรื่น เห็นชัดว่าวิชาสื่อสารจิตวิญญาณที่เขาฝึกนั้นไม่มีปัญหาใดๆ

แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เขาก็ยังไม่คิดที่จะตรงเข้าไปยังแดนปีศาจปรโลกเลยทีเดียว

สถานที่แห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ดีงามแต่อย่างใด ถึงแม้จะมีศิษย์มากมายเข้าไปยังค่ายกลนี้ ทั้งยังไม่กล้าเข้าไปลึกมากนัก แต่ก็มักจะพบเจอปีศาจที่ดุร้าย และถูกปีศาจกลืนกินอยู่บ่อยๆ

แน่นอนว่าหลิ่วหมิวย่อมไม่อยากจะตกเป็นขนมหวานในท้องของปีศาจ

ดังนั้นตอนนี้เขาจึงเหาะไปยังหุบเขาเล็กๆ ของสาขากลลับสวรรค์

เวลาผ่านไปชั่วครู่ เขาก็มาปรากฏตัวขึ้นกลางหุบเขาที่อยู่ตรงด้านล่างของหน้าผาที่เรียบเกลี้ยงเกลา และด้านหน้าที่อยู่ไม่ไกลออกไปเป็นบานประตูใหญ่สีแดงที่มีห่วงทองเหลืองขนาดใหญ่ติดอยู่ ราวกับว่าเป็นมันเลี่ยมฝังอยู่บนผนังหิน

ถึงแม้ประตูบานใหญ่จะปิดสนิท แต่กลับมีเสียงเคาะตีดังออกมาจากข้างในอยู่ไม่หยุด

หลิ่วหมิงตาเป็นประกาย ก้าวยาวๆ เดินเข้าไป

ยกมือจับห่วงวงหนึ่งเคาะลงไปบนประตูสองครั้ง

หลังจากเสียง “เต๊ง!” “เต๊ง!” ดังขึ้น เสียงเคาะตีที่ดังจากข้างในก็หยุดลงทันที

“มีธุระอันใด?”

ผ่านไปสักครู่ ประตูใหญ่ก็เปิดออก ชายร่างยักษ์รูปร่างสูงผิดปกติเดินออกมากล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

ชายร่างยักษ์ผู้นี้มีผมสั้นสีน้ำตาลแข็งกระด้าง ทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกกดดันราวกับเผชิญหน้ากับอสูรร้าย และระเบียงทางเดินด้านหลังของเขาเต็มไปด้วยไอร้อนผะผ่าว เห็นห้องโถงใหญ่ที่มีอาวุธหลายชนิดแขวนอยู่เต็มผนังอยู่รำไร ในนั้นมีแสงสีแดงเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด

“ข้าเป็นคนที่ศิษย์พี่หลี่จงแนะนำให้มา ข้าอยากได้หน้าไม้อาญาสิทธิ์ยอดเยี่ยมขนาดเล็กคันหนึ่ง นอกจากนี้ยังอยากได้ลูกดอกอาญาสิทธิ์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อควบคุมปีศาจโดยเฉพาะจำนวนหนึ่ง” หลิ่วหมิงละสายตากลับมากล่าวแบบไม่รีบร้อน

“หน้าไม้อาญาสิทธิ์ขนาดเล็ก ลูกดอกยิงสุริยันสิบสามดอก ทั้งหมดใช้หินจิตวิญญาณหนึ่งร้อยแปดสิบก้อน!” ชายร่างยักษ์ได้ยินเช่นนี้สีหน้าก็คลายลง เขาพินิจดูหลิ่วหมิวครู่หนึ่งแล้วค่อยกล่าวออกมา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา