“ศิษย์น้องวางใจเถอะ ถึงแม้ศิษย์พี่เองจะได้ยินมาไม่ผิด แต่ก็อย่าลืมยังมีผู้อาวุโสระดับผลึกจิตวิญญาณของนิกายจันทราสวรรค์กับหอสายธารโลหิตทั้งสองคน ถึงแม้มังกรแดงตัวนั้นจะสามารถหลบหนีการสังหารจากอาจารย์อากับผู้อาวุโสหลิงอวี้ได้ แต่พอมันกระตุ้นให้ผู้อาวุโสนิกายจันทราสวรรค์และหอสายสารโลหิตทั้งสองต้องลงมือ ต่อให้มันจะมีพลังมากแค่ไหน ก็ไม่สามารถหลบหนีความตายไปได้ โดยเฉพาะวิชากระบี่บินของนิกายจันทราสวรรค์ ร้ายกาจเป็นอย่างมาก ในสถานการณ์ที่เจ้ามังกรแดงตัวนี้ไม่มีกระบี่สยบมังกร ถึงแม้จะโหดร้ายแค่ไหนก็ไม่สามารถต้านทานได้” จูชื่อกลับกล่าวแย้งไม่เห็นด้วย
“วิชากระบี่บินของนิกายจันทราสวรรค์พอฝึกสำเร็จจริงๆ แน่นอนว่าย่อมเป็นเครื่องมือสังหารที่ร้ายกาจมาก แต่ว่าวิชาดาบโลหิตของหอสายธารโลหิตก็โหดร้ายอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน พอมันถูกดาบที่ฝึกฝนจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบต่อให้แค่สร้างรอยขีดข่วนบนผิวหนังแค่เล็กน้อยมันก็จะต้องตายสถานเดียว แต่พูดไปพูดไปมามิใช่จะมีแค่สองนิกายนี้ นิกายแต่ละนิกายมีนิกายไหนบ้างที่ไม่มีของล้ำค่าที่ไม่ค่อยได้นำมาไช้ แม้แต่นิกายปีศาจของเราเองถ้าหากสามารถเรียกจอมราชาปีศาจที่สมัยก่อนปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งเคยเรียกออกมาจนสั่นสะเทือนสยบไปหลายแคว้น มันก็มีพลังเพียงพอที่จะกวาดล้างนิกายทั้งหลายได้ แต่ตอนนี้พูดเรื่องนี้มันจะมีประโยชน์อะไร ตั้งแต่ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งนิกายล่วงลับไปมันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย และไม่มีใครสามารถเรียกออกมาได้อีก” นักพรตจงได้ยินแล้วก็ถอนหายใจออกมา
กุยหรูฉวนมองหน้ากันกับจูชื่ออยู่ครู่หนึ่งก็ฝืนยิ้มขมขื่นออกมาอย่างห้ามไม่ได้
สมัยนั้นนิกายปีศาจก็เคยได้ชื่อว่าเป็นนิกายแกนนำของนิกายทั้งหลาย แต่ภายหลังกลับค่อยๆ เสื่อมถอยไปทีละรุ่น ถ้าไม่ใช่ว่าตอนนี้ยังมีอาจารย์อาที่เป็นบรรลุระดับผลึกจิตวิญญาณคอยประคับประคองไว้ เกรงว่าตำแหน่งนิกายอันดับห้าในแคว้นก็คงไม่มั่นคงแล้ว
สิ่งนี้ทำให้คนรุ่นหลังอย่างพวกเขารู้สึกละอายไม่น้อย
“เอาล่ะ เจ้ามังกรร้ายนั่นถึงแม้จะสร้างความยุ่งยากเป็นอย่างมาก แต่ยังมีอาจารย์อาและคนอื่นๆ อยู่ ก็คงไม่สามารถสร้างหายนะได้มากนัก ตอนนี้พวกเรามาถกปัญหาในสาขาเราเถอะ” กุยหรูฉวนกระแอมไอเบาๆ กล่าวออกมา
จูชื่อและนักพรตจงได้ยินเช่นนี้ ย่อมไม่คัดค้าน รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที
สิบวันต่อมา หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิฝึกฝนอยู่ในห้อง เขากำลังดูขวดหยกสีขาวอย่างไม่มีตำหนิในมือของเขา
และขวดแบบเดียวกันอีกสองขวด วางอยู่ข้างกาย
นี่คือน้ำจิตวิญญาณล้างไขกระดูกสามขวดที่วันนี้เขาเพิ่งไปรับมาจากกุยหรูฉวน
ตามที่กุยหรูฉวนบอก ตอนที่ใช้น้ำจิตวิญญาณเหล่านี้ทางที่ดีควรจะออกกำลังกระตุ้นร่างกายซะก่อน จากนั้นใช้ให้มันให้หมดภายในสองสามวันนี้มันถึงจะให้ผลลัพธ์การชำระล้างไขกระดูกได้ดีที่สุด
แน่นอนว่าในระหว่างขั้นตอนการใช้ผู้ย่อมไม่สามารถใช้ได้อย่างสบาย
หลิ่วหมิงพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็วางขวดบนมือลงพื้นแล้วก้าวยาวๆ ออกไปยังลานเล็กๆ หน้าที่พัก
เสียงดัง “ฟรึ่บ!”
เขาถอดเสื้อส่วนบนออกเผยให้เห็นร่างกายที่นับว่าแข็งแรงมาก และสูดลมหายใจเบาๆ เริ่มปล่อยพลังหมัดที่ดูแปลกประหลาดออกมา
ครั้งแล้วครั้งเล่า!
เสียงหมัดดังขึ้นติดต่อกัน มันคือวิชาหมัดฝึกร่างที่เขาเรียนตอนที่ไปทำนาจิตวิญญาณในครั้งนั้น
เวลาค่อยๆ ผ่านไป กล้ามเนื้อและผิวหนังของหลิ่วหมิงค่อยๆ แดงขึ้นมา หลังจากที่เม็ดเหงื่อใสๆ โผล่ขึ้นตรงแผ่นหลัง ก็เริ่มมีไอร้อนระอุแผ่ออกมา ทั้งยังเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จนดูเหมือนหมัดพายุดุเดือด ไม่สามารถขับกระจายให้ออกไปได้หมด
หลิ่วหมิงหยุดการกระทำแล้วก้าวยาวๆ ไปยังห้องพัก ด้วยลมหายใจที่หอบเล็กน้อย
เขาถอดกางเกงออกไปอย่างรวดเร็ว แล้วหยิบขวดจากพื้นขึ้นมาหนึ่งขวด เปิดฝามันแล้วเทน้ำจิตวิญญาณสีขาวออกมาจากในนั้นแล้วเริ่มถูมันไปทั่วร่าง
พอน้ำจิตวิญญาณหยดลงมือก็มีความรู้สึกเย็นไปถึงกระดูก พอถูไปยังบนผิวหนังกลับกลายเป็นความเจ็บปวดราวกับโดนมีดเฉือน
หลิ่วหมิงแสยะปาก แต่มือก็ถูไปยังทุกส่วนของร่างกายไม่หยุด จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิลงไปด้วยร่างที่เปลือยเปล่าโล่งโจ้ง และเริ่มโคจรพลังอย่างเงียบๆ
เขาโคจรพลังเวทย์แต่ละครั้งความเย็นเฉียบบนผิวหนังก็เย็นยะเยือกยิ่งกว่าเดิม หลังจากโคจรไปหนึ่งรอบก็รู้สึกราวกับโลหิตเกาะตัวจนเป็นน้ำแข็ง
แต่จากคำแนะนำของนักปราชญ์กุยก่อนหน้านี้ หลิ่วหมิงจึงรู้ว่าช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด ด้วยเหตุนี้เขาจึงกัดฟันโคจรพลังภายในอยู่ไม่หยุด และเมื่อเขาหลับตาทั้งสองลงท่ามกลางร่างที่ด้านชา เขาจึงค่อยๆ ลืมเวลาและทุกสิ่งอย่าง
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดความเย็นยะเยือกบนผิวหนังของเขาก็จางหายไป ในขณะเดียวกันรูขุมขนก็เริ่มขับสิ่งของสีดำที่ดูคล้ายกับไขมันออกมา และส่งกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ออกมาด้วย
แต่สิ่งที่ตรงกันข้ามในตอนนี้คือ ใบหน้าของหลิ่วหมิงแดงเปล่งปลั่งกว่าปกติทั้งยังเปล่งประกายแพรวพราวอยู่ตลอด
หลังจากมีเสียงถอนหายใจยาวๆ ออกมา ในที่สุดเขาก็ลืมตาทั้งสองขึ้น แต่หลังจากมองลงบนร่างของตัวเองแล้วคิ้วก็ขมวดเข้าหากันทันที เขาร่ายคาถาอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอามือแตะลงไปบนศีรษะ
เสียงดัง “ซ่า!” “ซ่า!” น้ำใสสะอาดปรากฏขึ้นกลางอากาศ และร่วงลงไปชำระคราบสกปรกสีดำบนร่างเขาจนสะอาดหมดจด
หลิ่วหมิงรวบเส้นผมไปยังด้านหลัง ทันใดนั้นก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาหรี่ตาทั้งสองข้างลงส่งพลังจิตเข้าไปในร่างอีกครั้ง และตรวจสอบดูอย่างรวดเร็ว
โครงกระดูก กล้ามเนื้อ เส้นชีพจร ทะเลจิตวิญญาณต่างๆ ล้วนมีการเปลี่ยนแปลงที่บอกไม่ถูก พลังเวทย์ก็เพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย ถึงแม้จะไม่มากแต่ก็พอๆ กับผลการฝึกฝนอย่างหนักเป็นเวลาครึ่งเดือน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา