หลิ่วหมิงรับรู้ได้ถึงความร้อนผ่าวของอักขระรูปใบไม้ที่อยู่บนแขน ขณะเดียวกันก็รับรู้ได้ถึงการร้องเรียกจากที่ไกลๆ อย่างน่าประหลาดใจ
เขาเดินออกจากห้องสงบจิตในทันที และมาปรากฏตัวบนหลังคาของหอร้อยหลอม ครู่ต่อมา ก็มองเห็นเงาวังสีเขียวขนาดใหญ่ที่อยู่บนท้องฟ้าไกลๆ
แม้จะห่างกันไกล แต่เงาวังขนาดใหญ่กลับดูราวกับเทือกเขาที่สูงตระหง่าน มีลักษณะยิ่งใหญ่น่าเกรงขามวางขวางอยู่กลางอากาศ ไม่ว่าใครก็ตามเพียงแค่มองดูเล็กน้อย ก็สามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกกดขี่อันรุนแรง
หลิ่วหมิงยืนตกตะลึงพรึงเพริดอยู่กลางอากาศพักใหญ่ๆ และต่อมาก็รับรู้ได้ถึงการเรียกหาจากบนแขนอย่างรุนแรง และต้นกำเนิดของการร้องเรียกนี้ก็คือเงาวังลึกลับที่ปรากฏบนท้องฟ้าไกลๆ นั่นเอง
ขณะเดียวกัน ผู้คนในตลาดจำนวนมากต่างก็สังเกตเห็นสภาพแปลกประหลาดบนท้องฟ้าไกลๆ
ขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้คนที่เดินเตร่อยู่บนท้องถนน ผู้ที่กำลังซื้อของอยู่ในร้านค้า หรือว่าผู้ที่นั่งฝึกฝนอยู่ในห้อง ต่างก็พากันวางมือจากเรื่องที่ทำอยู่ และกรูกันมาที่มุมถนนจ้องมองเงาวังด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด
แม้กระทั่งมีผู้ฝึกฝนจำนวนไม่น้อยที่กระโดดขึ้นบนหลังคาเหมือนกับหลิ่วหมิง เพื่อที่จะดูว่ามันคือสิ่งใดกันแน่
“วังมายานภาหยก!” ไม่รู้ว่าใครเป็นคนหลุดคำพูดนี้ออกมา
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วขึ้นมาทันที เขาได้ยินชื่อนี้เป็นครั้งแรก จึงหันไปมองคนที่ตะโกนออกมาอย่างอดไม่ได้
แต่ทว่าในขณะนั้นเอง “ฟิ้วๆ!” ลำแสงแปลกประหลาดพุ่งขึ้นฟ้า และพุ่งไปทางเงาวังที่อยู่ไกลๆ หนึ่งในนั้นคือชายหนุ่มใบหน้าเหลืองซีด ซึ่งเป็นคนที่ตะโกนออกมาในก่อนหน้านั้น สีหน้าของเขาดูตื่นเต้นอย่างถึงขีดสุด
ไม่นานก็มีแสงหลบหลีกพุ่งออกจากตลาดเป็นจำนวนมาก และตามหลังชายหนุ่มใบหน้าเหลืองซีดไปติดๆ
จากนั้นผู้ฝึกฝนจำนวนมากก็พุ่งไปยังวังที่อยู่ไกลๆ
ภายในร้านค้าแห่งหนึ่งที่อยู่บริเวณใกล้ๆ หอร้อยหลอม หญิงสาวชุดม่วงแห่งตระกูลโอวหยางค่อยๆ ก้าวออกมา ผู้อาวุโสชุดดำที่ชื่อเฉียวจื้ออียืนอยู่ด้านข้าง ทั้งสองมองไปยังเงาวังด้วยความตกใจระคนดีใจ
“คิดไม่ถึงว่าเศษกระจกนภาหยกเพิ่งจะมีการตอบสนองแค่ครึ่งวัน วังมายานภาหยกก็เปิดขึ้นแล้ว” ผู้อาวุโสชุดดำจ้องมองท้องฟ้าด้วยดวงตาที่เป็นประกายแวววาว และค่อยๆ กล่าวออกมา
“ผู้เฒ่าเฉียว พวกเราก็ออกเดินทางไปกันเถอะ” ดวงตางดงามของหญิงสาวชุดม่วงเผยแววตื่นเต้นออกมา และหันมากล่าวกับผู้อาวุโส
ผู้อาวุโสได้ยินก็พยักหน้า
หญิงสาวชุดม่วงยกมือปล่อยมุกสีแดงเข้มออกมาหนึ่งเม็ด หลังจากแสงสีแดงเปล่งประกายอยู่พักหนึ่ง วิหคจิตวิญญาณที่มีขนสีแดงก็ปรากฏออกมา รูปร่างภายนอกดูคล้ายเหยี่ยวหัวดำ มันแหงนหน้าส่งเสียงกังวานออกมา
ทั้งสองลอยขึ้นไปบนหลังของวิหคสีแดง พอมันกระพือปีกทั้งสอง ก็ก่อเกิดพายุพัดกระหน่ำ จากนั้นก็พาทั้งสองพุ่งไปยังเงาวัง
หลิ่วหมิงมองดูวิหคจิตวิญญาณสีแดงที่พุ่งออกไป และปราดตามองหญิงสาวชุดม่วงกับผู้อาวุโสชุดดำที่อยู่บนหลังของวิหคด้วยความประหลาดใจ
แม้จะมองแค่ปราดเดียว เขาก็จำผู้อาวุโสชุดดำได้ แม้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นหญิงสาวชุดม่วงมาก่อน แต่ก็พอจะเดาสถานะของนางได้
ขณะนี้มีเสียงดัง “ฟิ้วๆ!” ข้างตัวหลิ่วหมิง เถ้าแก่เย่กับผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธทั้งสอง ก็พุ่งออกจากหอร้อยหลอมเช่นกัน และมายืนอยู่ด้านข้างหลิ่วหมิง
“วังมายานภาหยก….. คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นมันเปิดในขณะที่ข้ายังมีชีวิตอยู่” เถ้าแก่เย่จ้องมองเงาวังที่อยู่ไกลๆ ด้วยสีหน้าที่ซับซ้อนอย่างถึงขีดสุด ความรู้สึกตกใจระคนดีใจ ความปรารถนา ความไม่ยินยอม และความรู้สึกต่างๆ ถูกเผยออกมา ผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธทั้งสองก็อุทานด้วยความเสียดาย
“เถ้าแก่เย่ วังมายานภาหยกที่ท่านกล่าวถึงคือสิ่งใดกัน? เมื่อครู่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ตะโกนชื่อนี้ออกมา” หลิ่วหมิงหันมาถามอย่างราบเรียบ
“เฮ่อๆ! ลืมไปว่าท่านทูตหลิ่วเพิ่งจะมาตลาดฉางหยางได้ไม่นาน ไม่แปลกที่จะไม่เคยได้ยินชื่อวังมายานภาหยกมาก่อน” เถ้าแก่เย่ได้ยินก็กล่าวอย่างลึกลับ
“แท้จริงแล้ววังมายานภาหยกเป็นซากวัตถุสมัยบรรพกาล”
“ซากวัตถุสมัยบรรพกาล!” พอได้ยินคำพูดนี้ หลิ่วหมิงก็รู้สึกตกใจจนต้องสูดหายใจด้วยความเย็นสะท้าน ภาพคัมภีร์จำนวนมากที่เขาเคยอ่านผุดขึ้นในสมอง
ตามบันทึกในคัมภีร์โบราณ ซากวัตถุสมัยบรรพกาลที่กล่าวถึงนี้ ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นก่อนสมัยโบราณกี่หมื่นกี่พันปี ซึ่งปราณฟ้าดินในขณะนั้นหนาแน่นกว่าตอนนี้มาก
ว่ากันว่าในตอนนั้น เผ่าปีศาจในสมัยโบราณยังไม่ทันค้นพบโลกมนุษย์ ดินแดนผู้ฝึกฝนก็รุ่งเรืองกว่าตอนนี้หลายร้อยเท่า
เคล็ดวิชาในสมัยบรรพกาลมีมากมายนับไม่ถ้วน อาวุธเวท อาวุธเวทจิตวิญญาณปรากฏออกมาอย่างไม่ขาดสาย แม้กระทั่งการแบ่งเขตแดนผู้ฝึกฝนก็แตกต่างจากตอนนี้มาก
แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดโลกมนุษย์ถึงได้เผชิญกับมหันตภัยฟ้าดินครั้งยิ่งใหญ่ ไม่เพียงแต่ทำให้ปราณต้นกำเนิดเบาบางกว่าก่อนหน้านั้นหลายเท่า ยิ่งไปกว่านั้นยังทำให้ผู้ฝึกฝนแต่ละเผ่าสังหารกันอย่างบ้าคลั่ง จนผู้มีพลังเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
และขณะนั้นโลกมนุษย์กลับถูกเผ่าปีศาจโบราณค้นพบโดยกะทันหัน ก่อให้เกิดสงครามระหว่างสองดินแดน ผู้คนในโลกมนุษย์จำนวนมากถูกดึงเข้าสู่สงครามในครั้งนี้ และเปิดฉากของสมัยโบราณที่ยืดเวลานานนับล้านปี
สำหรับยุคสมัยบรรพกาลในตำนานนั้น คัมภีร์จำนวนหนึ่งก็ไม่ได้อธิบายละเอียด ผู้คนพากันพูดไปต่างๆ นานา เพราะเวลามันยาวนานเกินไป หลิ่วหมิงเองก็อ่านจากคัมภีร์ในนิกายยอดบริสุทธิ์มาเพียงเล็กน้อย และตอนที่อยู่ในนิกายปีศาจ ก็มีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้น้อยมาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา