และด้านล่างของวัง มีบันไดห้าสีพร่ามัวทอดยาวจากประตูวังออกไปนอกม่านแสง คงเป็นทางเข้าเดียวของวังมายานภาหยก
หลิ่วหมิงมองดูบันไดห้าสีทีหนึ่ง และไม่ได้รีบเข้าไปแต่อย่างใด แต่กลับมองไปยังม่านแสงสีขาวที่ปกคลุมอยู่ด้านนอก และสังเกตดูชั้นจำกัดป้องกันที่ผู้ฝึกฝนในสมัยบรรพกาลวางไว้
ม่านแสงแวววาวราวกับหยก ดูเหมือนมันจะสงบมาก แต่กลับให้ความรู้สึกหนาแน่นอย่างบอกไม่ถูก
หลิ่วหมิงปล่อยจิตส่วนหนึ่งไปกวาดดูอย่างช้าๆ
แต่ขณะที่ยังอยู่ห่างจากม่านแสงหลายฉื่อนั้น ก็ดูเหมือนว่าพลังจิตของเขาจะปะทะกับสิ่งกีดขวางไร้รูปหนึ่งชั้น จนไม่อาจเข้าไปได้เลยแม้แต่น้อย ทั้งยังมีกลิ่นไออันตรายแผ่ออกมาจากส่วนที่อยู่ลึกๆ
ประจักษ์ชัดว่าหากมีคนคิดจะบุกเข้าไป จะต้องไม่มีผลลัพธ์ที่ดีแต่อย่างใด
หลิ่วหมิงดึงจิตกลับมาอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็เผยแววตาลังเลออกมา
ลำพังแค่เกราะป้องกันวังมายานภาหยก ยังมหัศจรรย์ถึงเพียงนี้ สมกับเป็นวัตถุในสมัยบรรพกาลจริงๆ
ขณะนั้นเอง มีเสียงดังลั่นมาจากบันไดห้าสี พอมองออกไปไกลๆ ก็ค้นพบว่ามีคนลองปีนป่ายบันไดห้าสีอยู่
หลิ่วหมิงจ้องมองด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ผู้ที่กำลังลองปีนบันได้อยู่ในขณะนี้ เป็นชายหนุ่มใบหน้าเหลืองซีด พอหลิ่วหมิงมองออกไปก็จำได้ในทันที คนผู้นี้ก็คือผู้ที่ตะโกนชื่อวังมายานภาหยกออกมาเป็นคนแรกในตอนที่อยู่ในตลาดฉางหยางนั่นเอง
ที่แท้คนผู้นี้ก็มีเศษกระจกนภาหยกอยู่ด้วยชิ้นหนึ่ง มิน่าล่ะถึงได้ตื่นเต้นเช่นนี้
แต่พอชายหนุ่มใบหน้าเหลืองซีดเหยียบบันได้ห้าสีขั้นแรก ก็มีแสงห้าสีจางๆ เปล่งประกายออกมา ร่างของเขาสั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นก็กลับมาสงบอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้
ฝึกฝนมาจนถึงระดับของเหลวแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะยืนไม่มั่นคงโดยไม่มีเหตุผล ประจักษ์ชัดว่ามีชั้นจำกัดพิเศษอะไรอยู่บนบันได ที่ทำให้เขายืนได้ไม่มั่นคง
พอคิดดูอย่างละเอียด เขาก็พอจะเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย คิดว่าการทดสอบของวังมายานภาหยกที่เถ้าแก่เย่และคนอื่นๆ พูดถึง คงเป็นการปีนป่ายบันไดห้าสีนี้
ชายใบหน้าซีดเหลืองสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็ก้าวไปยังขั้นที่สอง ขั้นที่สาม……
ยิ่งเดินสูงขึ้นเรื่อยๆ แสงห้าสีบนบันไดก็ยิ่งเปล่งประกายมากขึ้น ราวกับว่าพยายามฉุดลากฝีก้าวของเขาไว้
บันไดยาวๆ นี้มีร้อยขั้นพอดี
ชายหนุ่มใบหน้าซีดเหลืองค่อยๆ ก้าวขึ้นไปท่ามกลางสายตาจับจ้องของผู้คนทั้งหมด ขณะที่เดินไปได้สิบกว่าขั้นนั้น ก็มองเห็นร่างของเขาโงนเงนอย่างชัดเจน
หลิ่วหมิงก็ใจจดใจจ่อขึ้นมา มันยากที่จะมีคนสาธิตให้ดูก่อน เขาย่อมตั้งใจดูให้ดีๆ
เมื่อชายใบหน้าซีดเหลืองเหยียบบันไดขั้นที่ยี่สิบนั้น ก็มีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผาก เท้าขวาที่ยกขึ้นมาสั่นไหวราวกับพื้นลื่น และสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปในฉับพลัน
แต่พอชายหนุ่มใบหน้าซีดเหลืองตะโกนออกมา แสงสีเหลืองก็พุ่งออกจากร่าง เมื่อแสงสีเหลืองเกาะตัวกัน ร่างของเขาก็ยืนได้อย่างมั่นคง
สถานการณ์ในเวลาต่อมาก็คล้ายกับตอนเริ่มต้น หลังจากโคจรพลังเวทจนทรงตัวได้แล้ว เขาก็เริ่มเดินเหินได้อย่างมั่นคง แต่พอเดินไปถึงขั้นที่สามสิบกว่า ก็เริ่มโงนเงนไปมา
หลิ่วหมิงแอบส่ายหน้า ขั้นบันไดยังเหลือกว่าครึ่งหนึ่ง คนผู้นี้ก็เผยท่าทีอ่อนระโหยโรยแรงออกมาแล้ว คิดว่าคงยืนหยัดต่อไปได้ไม่นาน
เป็นอย่างที่คิดไว้ ขณะที่ชายหนุ่มใบหน้าซีดเหลืองเหยียบบันไดห้าสีขั้นที่สี่สิบกว่านั้น ก็มีเหงื่อออกมาราวกับเครื่องปรุงรส ร่างของเขาคลอนแคลนเล็กน้อย ดวงตาเผยแววเฉียบขาดออกมา จากนั้นก็กระชากขาเพื่อก้าวเดินต่อ แต่ร่างของเขากลับสั่นสะเทือนขึ้นมา พอมีเสียงร้องออกมาอย่างฉับพลัน เขาก็ล้มตัวลงด้านข้าง เมื่อร่างสัมผัสกับบันได ก็ถูกแสงผลักกระเด็นออกจากขั้นบันไดไป
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ส่ายหน้าไปมา
หลังจากชายหนุ่มใบหน้าเหลืองซีดกระเด็นออกไปแล้ว แสงสีเขียวก็พุ่งออกจากแขนของเขาในฉับพลัน และพุ่งกระพริบออกไปไกลๆ
ท่ามกลางแสงสีเขียว พอจะมองเห็นสิ่งของที่เปล่งประกายแวววาวอยู่รำไร
ผู้ฝึกฝนที่ดูความสนุกอยู่ด้านล่าง ต่างก็พากันส่งเสียงฮือฮาขึ้นมา ทันใดนั้น มีแสงหลบหลีกหลายสิบลำพุ่งไปยังแสงสีเขียวอย่างบ้าคลั่ง
หลิ่วหมิงไม่ได้เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา สำหรับเหตุการณ์เช่นนี้ เถ้าแก่เย่และคนอื่นๆ ได้พูดให้เขาฟังแล้ว
หากไม่ผ่านด่านการทดสอบของวังมายานภาหยกล่ะก็ เศษกระจกนภาหยกบนตัวก็จะหลุดออกจากร่างไป
แต่ว่าเศษกระจกหนึ่งชิ้น สามารถใช้ทดสอบได้ครั้งเดียวเท่านั้น ต่อให้จะมีคนได้มันมา ก็ต้องรอให้วังมายานภาหยกเปิดครั้งต่อไปถึงจะใช้ได้
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เศษกระจกนภาหยกเป็นกุญแจในการเปิดวังมายาครั้งต่อไป มันยังคงเป็นสิ่งของล้ำค่าที่ใครๆ ก็ต้องการ
ชายหนุ่มใบหน้าซีดเหลืองควบคุมร่างกายของตนเองให้ค่อยๆ ร่วงลงอย่างยากเย็น ดูเหมือนว่าเวลาแค่ไม่นาน พลังเวทในร่างก็หายไปจนหมดสิ้น
บรรดาฝูงชนที่ล้อมรอบต่างก็ชี้ไปที่ชายหนุ่มใบหน้าซีดเหลือง แม้กระทั่งยังมีคนหัวเราะเยาะเย้ยออกมาด้วย
ชายหนุ่มมีสีหน้าดูไม่ได้อย่างถึงขีดสุด ทันใดนั้นเขาก็กระทืบเท้า และกลายเป็นแสงสีเหลืองพุ่งออกไปในทันที
หลังจากคนแรกล้มเหลว ก็ไม่มีคนลองขึ้นไปอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ดูเหมือนต่างก็รอให้มีคนที่สองมาปรากฏตัว เพื่อต้องการหาเบาะแสบางอย่างของบันได
เรื่องที่เป็นจุดสนใจเช่นนี้ หลิ่วหมิงย่อมไม่ไปทำอย่างแน่นอน เขาได้แต่รอคอยอย่างเงียบๆ เหมือนกับคนอื่นๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา