ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 563

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 563 อาชาเขาเดี่ยว
ตอนที่ 563 อาชาเขาเดี่ยว
โดย
Ink Stone_Fantasy
พอชายหน้าเขียวได้ยินเฮ่าเยวี่ยกล่าวเช่นนี้ ก็ดูเหมือนโดนสะกิดบาดแผล ไอเขียวพุ่งออกจากหน้าในทันที กลิ่นไอสังหารแผ่ออกไปโดยไม่มีสิ่งใดกีดกั้นไว้

ใบหน้าของเฮ่าเยวี่ยยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ดวงตากลับเป็นประกายสีม่วงแวววาว

ครู่ต่อมา กลิ่นไอมหาศาลสองสายก็ปะทะกันกลางอากาศ

เกิดเสียงดังก้อง!

สายฟ้าเล็กๆ จำนวนมากปรากฏกลางอากาศ และระเบิดตัวติดต่อกันไม่หยุด พายุบ้าระห่ำก่อตัวขึ้นมา และม้วนตัวไปทั่วทิศ

ผู้ฝึกฝนที่อยู่บริเวณใกล้ๆ ถูกพายุบ้าระห่ำพัดจนไม่อาจทรงตัวได้ และพากันล้มระเนระนาด

ผู้ที่มีการตอบสนองรวดเร็วต่างก็กุลีกุจอพุ่งออกไปไกลๆ ผู้ที่วิ่งช้าหน่อยก็ถูกพัดจนกระเด็นออกไปไกลๆ

ผู้อาวุโสผมขาวอยู่ใกล้ที่สุด ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ทันระวัง ร่างของเขาก็สั่นสะท้านอยู่ครู่หนึ่ง พอขมวดคิ้วและทำท่ามือด้วยมือเดียว ก็ทรงตัวไว้ได้

ขณะเดียวกัน พายุที่พัดกระพือฮือโหมก็ม้วนตัวติดต่อกัน จนก่อตัวเป็นกระแสอากาศสีขาว มันห่อหุ้มเด็กชายกับชายหน้าเขียวเอาไว้

ทั้งสองพร่ามัวอยู่ท่ามกลางกระแสอากาศสีขาว และกลายเป็นเงาร่างจางๆ สองเงาปรากฏขาดๆ หายๆ อยู่กลางอากาศ

“เอาล่ะ! สหายทั้งสองต่างก็เป็นผู้อาวุโสในนิกาย วันนี้ต้องทิ้งภาระกิจสำคัญมายังสถานที่แห่งนี้ คงไม่ต่อสู้จนตายกันไปข้างหนึ่งหรอกนะ ไม่สู้ถอยกันคนละก้าว รอศิษย์ที่อยู่ด้านในออกมาค่อยว่ากัน จะได้ไม่ผิดใจกันด้วย” ผู้อาวุโสผมขาวพูดเกลี้ยกล่อม

เป็นเพราะความบาดหมางของเฮ่าเยวี่ยกับชายแซ่ไต้ในปีก่อน พวกเขาถึงพูดประชดประชันกันอย่างทนไม่ได้ การพูดเกลี้ยกล่อมของผู้อาวุโสในครั้งนี้ ก็เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกันของทั้งสอง

ทั้งสองต่างก็ทำเสียงฮึดฮัดออกมา และเก็บกลิ่นไอโดยไม่ต้องบอกกล่าว ทันใดนั้นกระแสพายุระห่ำก็ค่อยๆ สลายไป

เวลาเพียงชั่วครู่ ความแข็งแกร่งที่ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ทั้งสามแสดงออกมา ก็ทำให้ฝูงชนตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง และไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เลยแม้แต่น้อย

ขณะนั้นเอง บันฑิตวัยกลางคนกับบัณฑิตหนุ่มก็เหาะมาหา และร่อนลงด้านข้างชายแซ่ไต้

“ศิษย์คารวะอาจารย์อาไต้” บัณฑิตวัยกลางคนโค้งคารวะให้กับชายแซ่ไต้ บัณฑิตหนุ่มเองก็รีบโค้งตัวตามอย่างรวดเร็ว

“อืม! ลุกขึ้นเถอะ! ข้ามีเรื่องอยากจะถามศิษย์หลานไป๋อยู่พอดี” ชายหน้าเขียวพยักหน้า จากนั้นก็ขยับปากใช้วิชาส่งเสียงสนทนากับบันฑิตวัยกลางคน

บัณฑิตวัยกลางคนตอบกลับอย่างนอบน้อม จากนั้นชายหน้าเขียวก็เงยหน้ามองวังมายาที่ลอยอยู่กลางอากาศด้วยสีหน้าลังเลเล็กน้อย

บัณฑิตวัยกลางคนกับชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนี้ ก็ยิ่งไม่กล้าพูดอะไรออกมา เพียงแค่ยืนอยู่ด้านข้างอย่างนอบน้อม

เฮ่าเยวี่ยเห็นชายแซ่ไต้ทำท่าทีลับๆ ล่อๆ เช่นนี้ เขาก็หัวเราะอย่างเยือกเย็น จากนั้นก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงปล่อยแสงสีเขียวไปม้วนเอาร่างจั้งเสวียนขึ้นมา และวางไว้บนพื้นตรงหน้าเขาอย่างมั่นคง

เฮ่าเยวี่ยสังเกตดูจั้งเสวียนหนึ่งรอบ และขมวดคิ้วขึ้นมา พอยกมือข้างหนึ่งขึ้น ลูกปัดหยกสีขาวก็พุ่งออกจากแขนเสื้อ และลอยอยู่เหนือหน้าอกของจั้งเสวียน

จากนั้นเขาก็ทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่งก่อนชี้ไปกลางอากาศ และร่ายคาถาออกมา ลูกปัดหยกสีขาวปล่อยแสงสามสีออกมาห่อหุ้มร่างของจั้งเสวียนไว้ และค่อยๆ เคลื่อนย้ายไปบริเวณหน้าอก

ในขณะเดียวกัน มีเสียงแตกหักดังมาจากร่างของจั้งเสวียน

ฉากอันน่าตกใจได้บังเกิดขึ้นแล้ว!

กระดูกภายในร่างของจั้งเสวียนที่แหลกละเอียด ค่อยๆ สมานกันอย่างรวดเร็ว อวัยวะภายในที่แหลกเหลวก็ฟื้นคืนกลับมาเช่นเดิม

ภายใต้การกระตุ้นลูกปัดหยกสีขาวของเฮ่าเยวี่ย มันไหลวนตามแขนขาของจั้งเสวียนหนึ่งรอบ

ภายใต้การซ่อมแซมของแสงสามสี พริบตาเดียวบาดแผลทั่วตัวก็ฟื้นฟูมากว่าครึ่งหนึ่ง หลังจากมีเสียงครวญครางดังออกมาเบาๆ สติของเขาก็ค่อยๆ ฟื้นคืนมา

เฮ่าเยวี่ยเห็นเช่นนี้ก็พยักหน้าเล็กน้อย หลังจากหยุดทำท่ามือ และโบกมือออกไป ลูกปัดหยกสีขาวก็ดับแสงลง และพุ่งหายไปในแขนเสื้อของเขา

จั้งเสวียนค่อยๆ ลุกขึ้นมา หลังจากขยับตัวไปมาด้วยความดีใจแล้ว ก็รีบโค้งคารวะเฮ่าเยวี่ยด้วยความเคารพยำเกรง

“ศิษย์ขอขอบคุณผู้อาวุโสเฮ่าเยวี่ยที่ยื่นมือเข้าช่วย”

“ไม่ต้องมากพิธี เจ้าเป็นศิษย์สาขาใด” เฮ่าเยวี่ยจ้องมองป้ายศิษย์สายนอกบนเอวจั้งเสวียนแล้วถามอย่างราบเรียบ

“เรียนผู้อาวุโส ศิษย์เป็นศิษย์สาขาห่านฟ้า” จั้งเสวียนรีบกลับอย่างนอบน้อม

เฮ่าเยวี่ยได้ยินก็พยักหน้าเล็กน้อย และไม่พูดอะไรออกมา จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิหลับตาพักผ่อน

ที่เขามาไกลถึงตลาดฉางหยางในครั้งนี้ ประการแรกก็เพื่อมาดูวังมายานภาหยกที่มีชื่อเสียงมายาวนานแห่งนี้ ประการที่สองเป็นเพราะว่าถูกไหว้วานจากสหายยอดเขากระบี่ ให้มาดูแลซาทงเทียนที่เป็นศิษย์ใต้สังกัด ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะต้องมาเจอกับชายแซ่ไต้ของสำนักเฮ่าหราน จนเขาต้องกร่นด่าในความโชคร้ายอย่างอดไม่ได้

พอจั้งเสวียนเห็นเฮ่าเยวี่ยจิตใจล่องลอย เขาก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ทำเหมือนกับบัณฑิตของสำนักเฮ่าหรานที่ยืนอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ

ขณะนี้ แม้ว่าชายแซ่ไต้จะแสดงสีหน้าไม่ใส่ใจ แต่ในใจกลับรู้สึกหงุดหงิดอยู่ไม่หยุด

ครั้งนี้เขามาเพื่อดูศิษย์แซ่ซังที่ทางสำนักให้ความสําคัญ กลับคิดไม่ถึงว่าจะพบกับผู้แข็งแกร่งของนิกายยอดบริสุทธิ์ที่ไม่ถูกกับเขามาโดยตลอด ทั้งยังถูกแฉจุดอ่อนต่อหน้าศิษย์อีก ดังนั้นเขาย่อมรู้สึกโกรธยิ่งกว่าเดิม

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา