แต่พริบตาเดียวก็หลบลูกเปลวไฟสีดำที่พุ่งเข้ามาได้ ดวงตาของเขาเป็นประกายเยือกเย็น กระบี่บินสีเขียวในมือที่ใสแป๋วราวกับลูกตาสั่นสะท้าน
“ฟิ้วๆ!” ปราณกระบี่จำนวนมากถูกปล่อยออกไป
“ตู้ม!” “ตู้ม!” เกิดเสียงดังติดต่อกัน
ปราณกระบี่สีเขียวละลานตาพุ่งเข้าไปในลูกเปลวไฟอย่างแม่นยำ มันปั่นจนลูกเปลวไฟระเบิดตัวเป็นสะเก็ดไฟสีดำกระเด็นไปทั่วทิศ
การเคลื่อนไหวนี้ราบรื่นเป็นอย่างมาก ดูท่าคนผู้นี้คงเป็นผู้ที่มีจิตใจสงบเยือกเย็นไม่น้อย
พอหลิ่วหมิงกวาดสายตามองออกไป ก็ต้องเผยแววตาชื่นชมออกมา!
เมื่อเทียบกันแล้ว ชายหนุ่มเผ่าค้างคาวมีพลังด้อยกว่าขั้นหนึ่ง
ขณะนี้ รอบตัวของเขาถูกกระแสไอดำห่อหุ้มไว้ ในมือถือธงสีดำขนาดจั้งกว่าๆ มีหัวปีศาจอัปลักษณ์ปักอยู่บนนั้น คมเขี้ยวยื่นออกจากปาก แลดูดุร้ายยิ่งนัก
บริเวณที่ธงสีดำพัดผ่าน จะมีไอดำพวยพุ่งขึ้นมา พอเปลวไฟส่วนมากสัมผัสกับมัน ก็ถูกห่อหุ้มไว้ในนั้น และหดเล็กลงอย่างรวดเร็วจนสลายไป
แม้ว่าวิธีการนี้จะใช้กับได้ผลกับเปลวไฟสีดำ แต่การบดบังของธงสีดำมีจำกัด ชายหนุ่มเผ่าค้างคาวทำได้แค่ขยับตัวไปมา เพื่อไม่ให้เปลวไฟสีดำโดนตัวเท่านั้น
ผู้ฝึกฝนทั้งสามอาศัยวิธีการต่างๆ ของตนเอง แม้ต่างคนต่างทำการต่อสู้ แต่ก็ปลอดภัยไปช่วงหนึ่ง
แต่พออาชาเขาเดี่ยวสะบัดตัวอย่างรุนแรง เปลวไปสีดำจำนวนมากตามด้วยลูกเปลวไฟก็พุ่งลงเต็มฟ้า พริบตานั้น อากาศในห้องโถงเต็มไปด้วยทะเลไฟสีดำ แม้กระทั่งบนพื้นหินสีดำก็มีร่องรอยของการละลายเล็กน้อย
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกใจเย็นสะท้านขึ้นมา
เวลาที่ผ่านมาเกือบสองเดือน เขาค้นพบว่าห้องโถงต่างๆ ในวังมายานภาหยกล้วนสร้างขึ้นจากวัสดุที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษ แม้กระทั่งอาจจะใช้วัสดุพิเศษบางอย่างที่มีเฉพาะในสมัยบรรพกาลสร้างขึ้นมา แม้แต่อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอด ก็ยากที่จะทิ้งร่องรอยไว้บนพื้นได้
และเปลวไปสีดำแปลกประหลาดนี้กลับสามารถละลายมันได้ ดูท่าคงแฝงไปด้วยอานุภาพอันน่าหวาดกลัวไม่น้อย
“ท่านทั้งสอง อาชาประหลาดตัวนี้มีการฝึกฝนระดับผลึกขั้นปลาย พลังของมันแข็งแกร่งมาก ไม่ใช่สิ่ง…… สิ่งที่พวกเราจะเอาชนะได้โดยลำพัง ถ้าจะ……. นั่งรอความตาย ไม่สู้พวกเราทั้งสามร่วมมือต่อสู้กันสักตั้ง…… ทุกท่านว่าอย่างไร?” ชายหนุ่มเผ่าค้างคาวมีสีหน้าแดงเล็กน้อย ด้านหนึ่งโบกสะบัดธงสีดำอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็เอ่ยปากเสนอแนะออกมา
“ร่วมมือกันน่ะได้ แต่ว่าหลังจากสังหารอสูรตัวนี้แล้ว มุกนภาหยกทั้งหมดก็อาศัยความสามารถของตนเองแย่งชิงกันเถอะ” เห็นได้ชัดว่าซาทงเทียนมีท่าทีสบายๆ เป็นอย่างมาก แต่พอได้ยินก็คิดใคร่ครวญเล็กน้อย และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
“ข้าก็คิดเช่นนี้ แต่ว่าทุกท่านรีบลงมือเผด็จศึกให้ไวที่สุดจะดีกว่า มิเช่นนั้นพลังเวทของพวกเราจะสู้อสูรมายาตัวนี้ไม่ได้” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างราบเรียบ
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลิ่วหมิงย่อมยินดีร่วมมือกับทั้งสองแล้ว
อสูรมายาตัวนี้ สามารถพูดได้ว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดตั้งแต่เขาเข้ามาในวังมายานภาหยก มันลงมือแค่ทีเดียว ก็สามารถก่อกวนได้นานเช่นนี้ หากลงมือด้วยวิธีการอื่นๆ อีกล่ะก็ คงต้องเกิดปัญหาใหญ่แล้ว
ด้วยพลังของเขาในตอนนี้ หากโหมกระหน่ำด้วยพลังทั้งหมดต่อสู้กับอสูรมายาระดับผลึกขั้นกลางที่ไม่มีสติปัญญาด้วยตัวคนเดียว ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่แต่อย่างใด แต่ไม่กล้าถือดีว่าตนเองจะสามารถสังหารอสูรมายาระดับผลึกขั้นปลายได้อย่างปลอดภัย
ในเมื่อทั้งสามบรรลุข้อตกลงกันแล้ว ต่างก็เข้าใจกันโดยปริยาย พวกเขากระโดดทะแยงไปด้านหลังเกือบจะในเวลาเดียวกัน และทำท่ามืออยู่ไม่หยุด
ซาทงเทียนกระโดดขึ้นเป็นคนแรก กระบี่ใสแจ๋วราวกับวารีในมือกลายเป็นสายรุ้งเจิดจ้าพุ่งออกไป และขยายใหญ่ตามแรงลมจนมีขนาดหลายจั้ง จากนั้นก็พุ่งเข้าหาอาชาเขาเดี่ยว
อีกด้านหนึ่ง หลิ่วหมิงยกแขนทั้งสองขึ้นพร้อมกัน ม่านทรายสีทองที่หมุนวนรอบตัวหยุดชะงัก และพุ่งออกจากร่าง จากนั้นก็กลายเป็นหอกยาวสีทองที่ยาวเจ็ดแปดจั้ง ภายใต้การเปล่งประกายของแสงสีทอง ด้วยความเร็วที่ไม่ด้อยไปกว่ากระบี่บิน มันก็พุ่งไปแทงอาชาประหลาดด้วยพลังอันรุนแรง
ขณะนี้ ชายหนุ่มเผ่าค้างคาวที่กระโดดขึ้นมาเป็นคนสุดท้าย กลับโยนธงสีดำในมือออกไป นิ้วมือทั้งสิบเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว และร่ายคาถาออกมา ดูเหมือนว่ากำลังกระตุ้นวิชาบางอย่างอยู่
เห็นได้ชัดว่าอาชาเขาเดี่ยวที่อยู่ด้านบน รับรู้การเคลื่อนไหวของทั้งสามได้ ในขณะที่คนทั้งสามกระโดดขึ้นจากพื้นนั้น มันก็ทำให้เปลวไฟสีดำที่พวยพุ่งรอบตัว ก่อตัวเป็นกำแพงอัคคีสีดำที่หนาหลายฉื่อและกดดันลงมา ไม่ว่าแสงกระบี่หรือว่าหอกทองคำ ต่างก็ถูกโจมตีจนสลายไป
“เร็ว!”
ชายหนุ่มชุดผ้าแพรเห็นเช่นนี้ ก็ตะคอกด้วยเสียงอันดัง พอชี้มือขึ้นฟ้า กระบี่บินสีเขียวกลางอากาศก็กลายเป็นอสรพิษยักษ์สีเขียวที่ยาวเกือบสิบจั้ง และสะบัดหัวสะบัดหางอยู่ท่ามกลางกำแพงอัคคี
ทันใดนั้น เงาร่างอสรพิษยักษ์ก็กระพริบอยู่ภายในกำแพงอัคคี แสงสีเขียวที่เคยเจิดจ้าถูกเปลวไฟสีดำเผาไหม้ จนดูเหมือนจะมืดลงเล็กน้อย แต่ในขณะที่อสรพิษยักษ์ก่อกวนอยู่ กำแพงอัคคีสีดำก็พวยพุ่งขึ้นมาอย่างรุนแรง ขณะเดียวกันความเร็วที่กดทับลงมาก็ลดช้าลง และมีช่องว่างดันออกไป
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็คิดไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กระตุ้นท่ามือทันที จุดแสงสีทองที่สลายไป ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง และกลายเป็นหอกยาว พอมีเสียงดัง “ฟู่!” มันก็เจาะทะลุรอยแยกของกำแพงอัคคีไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา