ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 569

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 569 เตาหลอมลิ่วเสิน
ตอนที่ 569 เตาหลอมลิ่วเสิน
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เจ้าเป็นศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ ทำไม่ถึงไม่รู้จักคนผู้นี้? เขามีระดับของเหลวเพียงหนึ่งเดียวที่กลายเป็นศิษย์สายตรงของนิกายยอดบริสุทธิ์ในระยะเวลาหมื่นปีมานี้ และก็จัดอยู่ในอันดับหนึ่งของศิษย์สายตรงนิกายยอดบริสุทธิ์ในปัจจุบัน เจ็ดร้อยปีก่อนเขาก็เคยบุกวังมายานภาหยก คิดไม่ถึงว่าเงาร่างมายานี้จะลอกเลียนแบบเขามา มิน่าถึงได้น่ากลัวถึงเพียงนี้” หญิงสาวชุดม่วงเห็นว่าหลิ่วหมิงไม่รู้เรื่องอะไรเลยแม้แต่น้อย นางก็เผยสีหน้าแปลกใจออกมา และพูดออกมาตรงๆ โดยไม่ใช้วิชาส่งเสียง

หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ย่อมรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก

แต่เขายังไม่ทันตอบอะไรกลับไป ชายหนุ่มครึ่งปีศาจก็พุ่งเข้ามาถึงบริเวณที่ทั้งสองอยู่ และทำเสียงฮึดฮัดก่อนกล่าวออกมา

“ไม่เพียงแต่เท่านี้ คนผู้นี้ยังเคยแลกมือกับปรมาจารย์เทียนเซี่ยง ทั้งยังล่าถอยมาได้อย่างปลอดภัย ต่อให้เป็นเงาร่างระดับของเหลว พวกเราทั้งสามร่วมมือกันก็ใช่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขา และเขาก็เป็นผู้บุกวังนภาหยกในปีนั้นเพียงหนึ่งเดียวที่เดินทางมาจนถึงตอนท้ายได้ ผู้บุกวังคนอื่นๆ ต่างก็ถูกเขาทำให้ได้รับบาดเจ็บ และถูกส่งออกไปนอกวังโดยตรง”

หลิ่วหมิงฟังถึงจุดนี้ ก็รู้สึกหวาดผวาขึ้นมา

คิดไม่ถึงว่าคนระดับนี้จะมาจากนิกายเดียวกับเขา แต่ตนเองก็เข้านิกายยอดบริสุทธิ์มาสองปีกว่าแล้ว เหตุใดถึงไม่รู้จักชื่อเสียงของคนผู้นี้

“สหายทั้งสอง มีคนผู้นี้อยู่ หากพวกเราทั้งสามจะแยกกันหลบหนี เกรงว่าคงถูกเขาโจมตีได้ อย่างเบาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนถูกเตะออกจากวังมายานภาหยกไป อย่างหนักก็เกรงว่าอาจจะมีอันตรายถึงแก่ชีวิต แต่หากเราสามคนเดินทางด้วยกันล่ะกัน เวลาพบเจอกับอันตรายยังพอจะช่วยกันรับมือได้บ้าง อีกอย่างการทดสอบในวังมายานภาหยกก็เหลือเวลาแค่ราวๆ หนึ่งวันแล้ว เพียงแค่ยืนหยัดให้ผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ พวกเราก็สามารถถอยไปได้อย่างปลอดภัย” ชายหนุ่มเผ่าปีศาจกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น

พอหลิ่วหมิงกับหญิงสาวชุดม่วงได้ยินก็สบตากันทีหนึ่ง หลังจากนั้นก็ไม่มีข้อคัดค้านใดๆ

ดังนั้นทั้งสามจึงผลัดเปลี่ยนกันต้านทานแสงกระบี่ตรงด้านหลัง และหลบหนีต่อ

จะว่าไปก็น่าแปลก ดูเหมือนว่าเวลาที่เงาร่างจินเลี่ยหยางเผชิญกับผู้แข็งแกร่ง ก็จะแข็งแกร่งตามไปด้วย เผชิญกับผู้อ่อนแอก็จะอ่อนแอตามไปด้วย ขณะที่ทั้งสามหลบหนีนั้นกลับไม่ลงมือสังหารแต่อย่างใด เพียงแค่ตามไล่มาตลอดทาง และสะบัดแสงกระบี่ออกไปด้านหน้าอยู่เป็นระยะๆ ดูเหมือนจะบีบให้ทั้งสามทำการต้านทาน เพื่อสิ้นเปลืองพลังเวทของทั้งสาม

ในระหว่างเวลานี้ ทั้งสามเคยพบเจอกับผู้บุกวังสองคนในก่อนหน้านั้น ภายใต้สถานการณ์ที่ทั้งสองไม่รู้เรื่องอะไรเลยแม้แต่น้อย จึงปล่อยอาวุธจิตวิญญาณเพื่อรับการโจมตีวิชาขี่กระบี่ของเงาร่างชายหนุ่มโดยตรง

สุดท้ายหนึ่งในนั้นที่นำโล่จิตวิญญาณออกมาก็ถูกฟันจนแตกกระจาย ภายใต้สถานการณ์ลุกลี้ลุกลน เขานำยันต์ป้องกันออกมาหลายผืน จึงถูกเตะออกไปนอกวังด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส

อีกคนก็ดูเหมือนจะไม่ได้โชคดีถึงขนาดนั้น อาวุธจิตวิญญาณในมือรวมถึงปราณแกร่งคุ้มร่างถูกปราณกระบี่ฟันจนขาด ภายใต้การเปล่งประกายของแสงสีทอง เขาก็ถูกฟันเป็นสองส่วนก่อนถูกส่งออกนอกวังไป

หลังจากทั้งสองถูกสังหารแล้ว ก็ทิ้งไว้เพียงมุกนภาหยกที่ร่วงเต็มพื้น “ฟู่!” เงาร่างชายหนุ่มดูดมันเข้าไปทั้งหมด

เวลาต่อมา ทั้งสามอยู่ในห้องที่ไม่มีที่สิ้นสุด และพบเจอกับผู้บุกวังคนอื่นๆ อีกหลายคน และก็ไม่มีใครสามารถต้านทานการโจมตีจากเงาร่างมายาของจินเลี่ยหยางได้ จึงพากันได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้วถูกเตะออกไปนอกวัง

มาถึงเวลาครึ่งวันสุดท้าย แสงกระบี่ที่ชายหนุ่มชุดสีทองโบกสะบัดออกมาก็ดูถี่ขึ้น จนกระทั่งถึงเวลาหนึ่งชั่วยามสุดท้าย ก็ดูเหมือนว่าจะมีแสงกระบี่สีทองพุ่งเข้ามาทุกๆ สิบอึดใจ

ภายใต้สถานการณ์ที่ทั้งสามแอบร้องทุกข์อยู่ไม่หยุด ก็ทำได้แค่ดูดซับหินจิตวิญญาณ กลืนกินโอสถอย่างบ้าคลั่ง และผลัดกันปล่อยอาวุธจิตวิญญาณในมือออกไปต้านทานการโจมตี

ภายใต้การโจมตีของแสงกระบี่สีทอง นอกจากมีดบินปีกตาข่ายในมือหญิงสาวชุดม่วงจะต้านทานได้เล็กน้อย และถูกเก็บกลับมาโดยที่ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ แล้ว อาวุธจิตวิญญาณอื่นๆ หากไม่ระวังเพียงเล็กน้อย อย่างหนักก็ถูกฟันเป็นสองส่วน อย่างเบาก็สูญเสียซึ่งพลังจิตวิญญาณ

หลังจากที่อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดในมือชายหนุ่มเผ่าปีศาจต่างก็สูญเสียพลังจิตวิญญาณไปมากแล้ว เขาก็กัดฟันหยิบอาวุธจิตวิญญาณระดับสูงโดยทั่วไปออกมาไม่น้อย และกระตุ้นให้มันระเบิดตัวออกมา เพื่อลดทอนอานุภาพของแสงกระบี่สีทองไว้ชั่วคราว

และหลังจากหลิ่วหมิงนำอาวุธจิตวิญญาณสองสามชิ้นสุดท้ายในแหวนย่อส่วนออกมา และทำให้มันระเบิดแล้ว เขาก็จำต้องนำถุงมือสีดำข้างที่ปีศาจหยินหยางทิ้งไว้ออกมา และอาวุธจิตวิญญาณระดับสูงอื่นๆ ก็ค่อยๆ ถูกนำออกมา ส่วนกระบี่สีแดงก็สลายไปพร้อมกับแสงกระบี่สีทองในช่วงเวลาสุดท้าย

ขณะที่ในมือหลิ่วหมิงเหลือแค่ทรายทองคำร่วงและของอื่นๆ นั้น ก็ยังมีอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดของปีศาจหยินหยางกับชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่ราวกับเจดีย์เหล็กในก่อนหน้านั้น ขณะที่กำลังลังเลว่าจะรับมือกับการโจมตีอันรุนแรงของชายหนุ่มชุดสีทองอย่างไรนั้น อากาศรอบๆ ตัวเขาก็สั่นสะท้านเบาๆ

จากนั้นก็มีเสียงดังก้องจนหูจะหนวก เงาร่างชายหนุ่มชุดสีทองที่อยู่ด้านหลังกลายเป็นหมอกควันสีขาวหายไปจากที่เดิมในฉับพลัน แสงกระบี่สีทองแต่ละสายที่เข้ามาถึง ก็หายไปในพริบตา

“เวลาในการทดสอบได้หมดลงแล้ว” ชายหนุ่มเผ่าปีศาจเห็นเช่นนี้ ก็หยุดแสงหลบหลีกลง และกล่าวด้วยความดีใจ

แม้หญิงสาวชุดม่วงที่อยู่ด้านข้างจะมีสีหน้าซีดขาวผิดปกติ แต่ก็ถอนหายใจยาวออกมาเช่นกัน

และหลิ่วหมิงรู้สึกถึงพลังเวทภายในร่างที่ใกล้จะแห้งเหือด ยังไม่ทันเอ่ยปากก็รู้สึกว่ามีแสงสีขาวเจิดจ้าปรากฏตรงหน้า ครู่ต่อมาก็ค้นพบว่าตนเองมาอยู่ในห้องโถงแปลกหน้าแห่งหนึ่ง และด้านหน้ายังมีแท่นบูชาสีเขียวสลัวๆ ตั้งโดดเดี่ยวอยู่

หลิ่วหมิงรู้สึกอึ้งเล็กน้อย พอกวาดสายตาดูสถานการณ์รอบด้าน ก็ค้นพบว่าชายหนุ่มครึ่งปีศาจกับหญิงสาวชุดม่วงไม่ได้อยู่บริเวณนั้นแล้ว ตอนนี้เขาจึงสังเกตแท่นบูชาตรงหน้าอย่างละเอียด

แท่นบูชานี้สูงแค่สองสามจั้ง ม่านแสงสีฟ้าลอยอยู่ด้านบน มีชื่ออาวุธเวท โอสถจิตวิญญาณ และวัสดุจิตวิญญาณต่างๆ เขียนอยู่บนนั้น แต่ละตัวล้วนมืดมิดไร้แสง

หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว พอปล่อยพลังจิตไปสัมผัสม่านแสง กลิ่นไอไม่คุ้นเคยก็พุ่งออกจากบนนั้น

ที่แท้แท่นบูชานี้ก็คือสิ่งที่บรรพบุรุษของวังนภาหยกสร้างขึ้นมาเพื่อมอบรางวัลให้กับผู้ที่ผ่านการทดสอบ สามารถใช้มุกนภาหยกในมือแลกกับของล้ำค่าต่างๆ บนแท่นบูชา แต่การเข้าวังในแต่ละครั้ง สามารถเลือกของล้ำค่าได้เพียงหนึ่งชิ้นเท่านั้น

แถวบนสุดล้วนเป็นอาวุธเวทต่างๆ ในสมัยบรรพกาล บางอย่างแค่ได้ยินชื่อก็ทำให้หลิ่วหมิงกลืนน้ำลายแห้งๆ จนตาแดงแล้ว และพอพลังจิตสัมผัสกับอักขระที่เกี่ยวข้อง ก็จะมีการแนะนำง่ายๆ ปรากฏในสมอง

ในนั้นมีมีระฆังราชาบูรพา ที่ว่ากันว่ามีมาตั้งแต่สมัยบรรพกาล พื้นผิวเรียบง่ายและมีสีเหลืองเข้ม มีลวดลายจิตวิญญาณปกคลุมอยู่เต็มพื้นผิว เป็นสมบัติของวังมายานภาหยกนี้ อานุภาพของมันแข็งแกร่งจนยากที่จินตนาการได้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา