หลังจากฟ้าหมุนติ้วๆ แล้ว ร่างของเขาก็หายไปจากที่เดิมอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน นอกวังมายานภาหยก
มีเสียงดังโครมครามบนท้องฟ้า
พอบรรดาผู้ฝึกฝนที่ยังไม่จากไปได้ยินเสียงที่ดังเข้ามา ต่างก็แหงนหน้ามองพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย และจ้องมองไปยังวังนภาหยกสีเขียวกลางอากาศด้วยสีหน้าตกใจ
จะเห็นว่าเงาร่างวังมายานภาหยกกำลังปรากฏขาดๆ หายๆ เหมือนกับวันแรกที่มันปรากฏตัว ทันใดนั้นแสงสีเขียวเจิดจ้าก็แผ่ออกมารอบด้าน จากนั้นมันก็กระพริบหายไปราวกับไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน
ฝูงชนบังเกิดความฮือฮาขึ้นมาอีกครั้ง มีเสียงอุทานออกมาอย่างไม่ขาดสาย
และบริเวณที่วังมายานภาหยกหายไปนั้น ก็มีเงาร่างสามเงาโซซัดโซเซปรากฏออกมา
ซึ่งก็คือหลิ่วหมิง ชายหนุ่มเผ่าปีศาจ กับหญิงสาวชุดม่วงตระกูลโอวหยางนั่นเอง
“ในที่สุดก็ออกมาแล้ว……” หญิงสาวชุดม่วงทรงตัวไว้เล็กน้อย หลังจากมองไปรอบด้านแล้วก็กล่าวด้วยความดีใจ
แม้หลิ่วหมิงกับชายหนุ่มเผ่าปีศาจจะไม่พูดอะไร แต่หลังจากสังเกตดูรอบด้านอย่างรวดเร็วแล้ว ก็ทอดถอนใจออกมาเช่นกัน
จะว่าไปแล้ว ต่อให้จะเป็นผู้ที่มีจิตใจแข็งแกร่งแค่ไหน แต่หลังจากผ่านการสังหารทุกวันเป็นระยะเวลาติดต่อกันสามเดือน ย่อมไม่กล้าที่จะผ่อนคลาย ซึ่งไม่แตกต่างจากทั้งสามเท่าไหร่
และเมื่อรวมกับข่าวลือในก่อนหน้า ทุกครั้งหลังจากที่วังมายานภาหยกนี้เปิดออกมา ในความเป็นจริงมีไม่กี่คนที่สามารถอยู่ได้นานสามเดือน และเดินออกจากวังอย่างปลอดภัย
และผู้ที่พ่ายแพ้ อย่างเบาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส อย่างหนักก็เสียชีวิตคาที่ ดูท่ามันคงไม่ค่อยเหมือนสถานที่ทดสอบทั่วไป
แน่นอน! เนื่องจากซากวัตถุนี้ไม่มีคนดูแล ภายใต้การน้าวนำของชั้นจำกัดพิเศษ ทำให้มียอดฝีมือจากภายนอกบุกเข้ามาอยู่ตลอด ทำให้ระดับความยากเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ดีที่ตอนนี้ทุกอย่างจบลงแล้ว ทั้งสามเองก็แลกสมบัติได้แล้ว นับว่าไม่เสียแรงที่มา
ขณะนั้นเอง แสงสีเขียวก็เปล่งประกายบนแขนของทั้งสาม และเกิดเสียงดังก้องฟ้า!
เศษกระจกนภาหยกทั้งสามหลุดลอกลงมา และพุ่งไปคนละทิศทางราวกับฝนดาวตก แต่ว่าพุ่งออกไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ ก็ถูกแสงสีดำ เขียว และขาวม้วนตัวกลับมา
ผู้ที่ลงมือย่อมเป็นเฮ่าเยวี่ย ชายแซ่ไต้ และผู้อาวุธผมขาวที่เป็นผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้
ผู้ฝึกฝนที่ยังอยู่บริเวณนั้นในขณะนี้ ต่างก็อดไม่ได้ที่จะกร่นด่าอยู่ในใจ
ตั้งแต่ทั้งสามมาถึงที่นี่ เศษกระจกนภาหยกเกือบครึ่งหนึ่งที่ออกมาจากวังมายานภาหยก ต่างก็ตกอยู่ในกำมือของผู้แข็งแกร่งทั้งสาม
และหลังจากทารกเฮ่าเยวี่ยกับผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ทั้งสองเก็บเศษกระจกนภาหยกไปแล้ว แสงหลบหลีกก็เปล่งประกายในทันที จากนั้นก็ร่อนลงตรงหน้าหลิ่วหมิงทั้งสามที่อยู่ไม่ไกล แต่สายตาของพวกเขาต่างก็ตกอยู่บนตัวของชายหนุ่มเผ่าปีศาจผู้นั้น
“เผ่าปีศาจ!”
ทารกเฮ่าเยวี่ยขมวดคิ้วกล่าวออกมา
ผู้อาวุโสผมขาวที่อยู่ด้านข้าง ก็เผยแววตาประหลาดใจออกมาเช่นกัน
ขณะนี้ ชายหนุ่มชุดขาวเผ่าปีศาจได้เก็บร่างปีศาจคืนไปแล้ว และกลับมามีรูปร่างเหมือนคนไม่มีผิด แต่กลิ่นไอปีศาจบนตัวยังเก็บเข้าไปไม่หมด จึงเปิดเผยตัวตนต่อหน้าผู้แข็งแกร่งทั้งสามอย่างไม่ต้องสงสัย
เผ่าปีศาจกับเผ่าค้างคาวแตกต่างจากเผ่าเนตรอินทนิล ซึ่งอย่างหลังถือเป็นกิ่งก้านสาขาของมนุษย์ แต่สองอย่างแรกกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แม้จะไม่นับว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจของมนุษย์ แต่ในสายตาของผู้ฝึกฝนโดยทั่วไป ย่อมไม่นับว่าเป็นพวกเดียวกัน จะต้องมีความคิดที่ไม่ดี และถูกมองเป็นศัตรูไม่น้อย
แต่ขณะนั้นเอง ก็มีเสียงฮึดฮัดดังมาจากปากชายหน้าเขียว!
สายตาของเขาที่มองชายหนุ่มเผ่าปีศาจเผยแววเยือกเย็นออกมา แต่กลับไม่มีการลงมือใดๆ ทันใดนั้นแสงสีเขียวก็พุ่งออกจากแขนเสื้อ และพุ่งไปยังชายหนุ่มเผ่าปีศาจ
แสงสีเขียวรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ และผสมปนเปไปด้วยเสียงที่ดังโครมคราม ดูเหมือนว่ามันจะมาถึงตรงหน้าชายหนุ่มเผ่าปีศาจภายในพริบตาเดียว ความเร็วระดับนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกฝนระดับของเหลวอย่างหลิ่วหมิงจะสามารถตอบสนองได้ทัน
ขณะที่ชายหนุ่มเผ่าปีศาจกำลังจะถูกโจมตีนั้น ก็มีเงาร่างสีเขียวเปล่งประกายท่ามกลางฝูงชน และพุ่งมาขวางอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มเผ่าปีศาจอย่างรวดเร็ว ทั้งยังมีมือแห้งเหี่ยวขนาดใหญ่ปรากฏออกมาข้างหนึ่ง และตบแสงสีเขียวจนกระเด็นออกไป
เฮ่าเยวี่ยและคนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกตกใจมาก คิดไม่ถึงว่าจะมีผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้คนอื่นๆ แฝงตัวอยู่บริเวณนี้ด้วย และตั้งแต่ต้นจนจบพวกเขาไม่สามารถรับรู้ได้เลยแม้แต่น้อย
หลังจากคนสวมชุดเขียวใส่หมวกคลุมผู้หนึ่งเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ถึงเห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน
คนผู้นี้ดูมีอายุไม่มาก เหมือนจะมีอายุราวๆ สามสิบถึงสี่สิบปีเท่านั้น โครงหน้าเป็นสี่เหลี่ยม แม้กระทั่งสามารถพูดได้ว่ามีความสง่างามแฝงอยู่ด้วย เพียงแต่ว่ามีเส้นผมสีเขียวหยิกโผล่ออกจากทั้งสองด้านของหมวกคลุมเล็กน้อย ดวงตาทั้งคู่เปล่งแสงสีเขียวจางๆ แลดูแปลกๆ
“ผู้อาวุโสขุยมู่จากหุบเขาปีศาจสวรรค์!” บรรดาผู้ฝึกฝนที่มุงดูอยู่ มีคนจำคนผู้นี้ได้จึงหลุดปากตะโกนออกมา
หลิ่วหมิงรู้สึกใจเต้นขึ้นมา เขาไม่เคยได้ยินชื่อผู้อาวุโสขุยมู่มาก่อน แต่ชื่อของหุบเขาปีศาจสวรรค์นั้นเขาพอรู้จักอยู่บ้าง
นั่นคือมันมีสถานะแตกต่างจากสี่ยอดนิกายใหญ่อย่างนิกายยอดบริสุทธิ์และสำนักเฮ่าหรานไม่มากนัก เป็นกลุ่มอิทธิพลเผ่าปีศาจในแผ่นดินจงเทียนที่มีจำนวนน้อยจนงอนิ้วนับได้
แต่ว่าแต่ไหนแต่ไรมา หุบเขาปีศาจสวรรค์มีศิษย์ออกไปข้างนอกไม่มากนัก ทั้งยังเคลื่อนไหวเร้นลับ น้อยมากที่คนนอกจะรู้ตัว ไม่เหมือนนิกายยอดบริสุทธิ์และนิกายอื่นๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา