ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 584

สรุปบท ตอนที่ 584 ประลองใหญ่แปดสาขา (7): ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

ตอน ตอนที่ 584 ประลองใหญ่แปดสาขา (7) จาก ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

ตอนที่ 584 ประลองใหญ่แปดสาขา (7) คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 584 ประลองใหญ่แปดสาขา (7)
ตอนที่ 584 ประลองใหญ่แปดสาขา (7)
โดย
Ink Stone_Fantasy
ภาพตรงหน้าโจวเทียนรุ่ยพร่ามัว ทิวทัศน์รอบด้านเปลี่ยนไปทันที ทุกหนแห่งยังคงเป็นแท่นประลอง รอบด้านเต็มไปด้วยทะเลไร้ขอบเขต คลื่นยักษ์อัดเข้ามาจากทั่วทิศ

“แย่แล้ว!”

โจวเทียนรุ่ยมีสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก ตอนนี้เขามองไม่เห็นเงาของโหวคุนเลย แต่โชคดีที่ยังสามารถเชื่อมจิตกับหุ่นที่ปล่อยออกไปได้อย่างชัดเจน

แต่ทว่าสถานการณ์ของหุ่นเหล่านี้เหมือนกับเขาไม่มีผิด ทุกการเคลื่อนไหวหนักหน่วงราวกับหมื่นชั่ง

“น่าเกลียดชังยิ่งนัก!”

พอโจวเทียนรุ่ยสงบจิตเล็กน้อย ก็ค้นพบว่าแม้ค่ายกลชั่วคราวนี้จะมีพลังในการกักขัง แต่กลับไม่มีพลังโจมตีเลย หลังจากครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว เขาก็ตบน้ำเต้าในมือทันที แสงสีเหลืองม้วนตัวออกมาต้านทานคลื่นยักษ์รอบด้านไว้อย่างสุดชีวิต และเริ่มดิ้นรนให้หลุดพ้นไปจากค่ายกลนี้

จากประสบการณ์ของเขา ค่ายกลนี้เป็นค่ายกลกักขังธาตุน้ำ และตัวเขาเองก็เชี่ยวชาญวิชาธาตุดิน เมื่อนำมันมาควบคุมกัน ใช้เวลาเล็กน้อยก็สามารถทำลายได้แล้ว

ในขณะเดียวกัน หลังจากชายหนุ่มผมขาวปล่อยค่ายกลยันต์ออกไปติดต่อกันสิบกว่าชุด เขาก็สูญเสียพลังเวทไปมาก หลังจากหายใจลึกๆ ด้วยสีหน้าซีดขาว ก็เอาแขนทั้งสองมาไขว้ไว้ตรงหน้าแล้วแยกออกจากกันทันที ทันใดนั้นอสรพิษเพลิงขนาดครึ่งจั้งจำนวนสิบกว่าตัวก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า

“วิชาระดับกลาง วิชาอสรพิษเพลิง!”

หลิ่วหมิงรู้สึกใจเต้นขึ้นมา สิ่งที่ทำให้เขานึกไม่ถึงก็คือ แม้กระทั่งวิชาระดับกลางเช่นนี้ ชายหนุ่มผมขาวก็ประทับวิชาจนสำเร็จ มิเช่นนั้นคงไม่อาจแสดงออกมาได้รวดเร็วเช่นนี้ ขณะเดียวกันยังสามารถควบคุมอสรพิษเพลิงได้จำนวนมากด้วย

ครู่ต่อมา ชายหนุ่มผมขาวดีดนิ้วทั้งสิบใส่อสรพิษเพลิงตรงหน้า ทันใดนั้นอสรพิษเพลิงสิบกว่าตัวก็ค่อยๆ รวมตัวจนกลายเป็นมังกรเพลิงขนาดใหญ่ที่ยาวสามสิบกว่าจั้ง มันดูราวกับมีชีวิต

“ไป!”

พอชายหนุ่มส่งเสียงตะคอก มังกรเพลิงก็ส่งเสียงร้องออกมาจริงๆ จากนั้นก็ส่ายหัวส่ายหางพุ่งเข้าใส่โจวเทียนรุ่ย บริเวณที่มันพุ่งผ่านถูกเผาจนกลายเป็นสีแดง

ขณะนี้ ร่างของโจวเทียนรุ่ยถูกขังอยู่ในค่ายกล แม้ว่าจะกระตุ้นอาวุธจิตวิญญาณอย่างเต็มที่ แต่ยังต้องใช้เวลาในการทำลายค่ายกลเล็กน้อย ทันใดนั้นกลับรู้สึกถึงคลื่นพลังเวทอันรุนแรง แสงสีแดงเปล่งประกายท่ามกลางคลื่นยักษ์ตรงหน้า หัวมังกรอัปลักษณ์พุ่งออกมาจากในนั้น และพุ่งชนเข้ามาด้วยความเร็วราวสายฟ้าฟาด

เกิดเสียงดังโครมครามอยู่ครู่หนึ่ง!

โจวเทียนรุ่ยและหุ่นจิตวิญญาณพสุธา ถูกเมฆอัคคีอันพวยพุ่งม้วนเข้าไปในนั้น และเริ่มละลายอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันแท่นประลองก็สั่นไหวอย่างรุนแรง

หลังจากเมฆอัคคีพวยพุ่งไม่กี่ที ก็มีเงาร่างดำเกรียมเล็กน้อยโผล่ออกมาบนแท่นประลอง

โจวเทียนรุ่ยในขณะนี้ ไม่เพียงแต่จะไม่มีหุ่นจิตวิญญาณธาตุดินอยู่ตรงหน้าเท่านั้น กำแพงพสุธาที่ไม่รู้ว่ามาต้านทานไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่กับเกราะพสุธาก็แตกสลายด้วยเช่นกัน เขาเพียงแค่มองดูชายหนุ่มผมขาวด้วยสีหน้าซับซ้อน หลังจากหัวเราะอย่างขมขื่นแล้ว ก็ล้มโครมลงพื้นทันที

บรรดาศิษย์ที่อยู่ด้านล่างแท่นประลองต่างก็เงียบเป็นเป่าสาก ประจักษ์ชัดว่ารู้สึกตกใจต่อภาพตรงหน้าเป็นอย่างมาก

หลิ่วหมิงเองก็หดรูม่านตาลง เขาแอบคิดพิจารณาว่า หากตนเองต้องเผชิญกับวิชาอสรพิษเพลิงนี้ จะสามารถรับมือได้โดยตรงหรือไม่

……

บนแท่นหยกสูง โหวคุนชายหนุ่มผมขาวที่ได้รับชัยชนะ ก็ทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ของแต่ละยอดเขาพากันวิพากษ์วิจารณ์อยู่ครู่หนึ่ง มีคนจำนวนไม่น้อยที่แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา

“ศิษย์ผู้นี้ไม่เพียงแต่มีร่างจิตวิญญาณที่หาได้ยาก ทั้งยังดูเหมือนจะมีความเชี่ยวชาญสายยันต์อย่างลึกซึ้งด้วย” ชายวัยกลางคนที่สวมชุดสีขาวเทากล่าวด้วยความเบิกบานใจ

“หรือว่าศิษย์พี่เจ้าก็ถูกใจโหวคุนผู้นี้ด้วย?” ชายชุดดำใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมที่ราวกับใช้มีดแกะสลักออกมากล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ฟังจากน้ำเสียงของพี่หลี่แล้ว หรือว่าคิดจะแย่งศิษย์คนนี้กับข้า?” ชายวัยกลางคนที่สวมชุดสีขาวเทากล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“พี่เจ้าพูดล้อเล่นแล้ว แม้ศิษย์ผู้นี้จะมีพรสวรรค์ที่หาได้ยาก แต่ยอดเขากระบี่สวรรค์เราฝึกฝนสายกระบี่ ใยต้องแย่งชิงกับพี่เจ้าด้วยเล่า!” ชายชุดดำยังคงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

แม้ว่างานประลองใหญ่ยังไม่เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ แต่ผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ของแต่ละยอดเขาต่างก็แอบแย่งชิงกันอย่างเงียบๆ โดยเตรียมเลือกศิษย์ที่มีพลังแข็งแกร่งและมีศักยภาพไว้ในใจแล้ว

และโหวคุนมีคุณสมบัติโดดเด่นเช่นนี้ ย่อมเป็นคนที่ถูกแย่งชิงมากที่สุด

……

ในขณะเดียวกัน บนเขาลูกหนึ่งที่อยู่ห่างจากยอดเขาเมฆาเลิศล้ำไปไม่ไกล ชายในชุดคลุมสีเหลืองสวมห่วงสีทองยืนขวางอยู่ตรงหน้าโจวเทียนรุ่ยที่พ่ายแพ้กลับมาด้วยท่าทีหน้าม่อยคอตก

“เจ้าคือโจวเทียนรุ่ยหรือ?” ชายชุดคลุมสีเหลืองกล่าวอย่งราบเรียบ

“เรียนผู้อาวุโส ศิษย์คือโจวเทียนรุ่ย ไม่ทราบว่าท่านคือ……” ขณะนี้โจวเทียนรุ่ยรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย แต่หลังจากค้นพบว่าตนเองไม่อาจรับรู้ถึงกลิ่นไอของฝ่ายตรงข้ามได้ ก็รีบประสานมือคารวะทันที

“ดีมาก ข้าเป็นผู้อาวุโสยอดเขาสันติสงบ ได้ยินมานานแล้วว่า เจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญการเรียกวิญญาณธาตุดิน เดิมทีกะจะไปดูการต่อสู้ที่ยอดเขาเมฆาเลิศล้ำ คิดไม่ถึงว่าจะได้พบเจ้าที่นี่” ชายชุดคลุมสีเหลืองได้ยินก็เผยรอยยิ้มออกมา

“ข้าน้อยใช้ไม่ได้ ไม่สามารถเข้าสู่สิบอันดับแรกของงานประลองใหญ่ในครั้งนี้ เกรงว่าจะทำให้ผู้อาวุโสผิดหวัง…..” ตอนแรกโจวเทียนรุ่ยรู้สึกตกใจมาก แต่ก็รีบกล่าวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น

“ไม่เป็นไร คนหนุ่มประสบความพ่ายแพ้เพียงเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องหน้าม่อยคอตกเช่นนี้ ที่ข้ามาในครั้งนี้ไม่ว่าอันดับในงานประลองของเจ้าจะเป็นอย่างไร ก็จะรับเจ้าเป็นศิษย์ของยอดเขาสันติสงบของเราอยู่ดี เจ้าคงรู้ดีว่ายอดเขาสันติสงบของเรา เคยมีผู้เชี่ยวชาญการเรียกวิญญาณมาไม่น้อย เจ้ายินยอมเข้ายอดเขาของเราหรือไม่?” ชายชุดคลุมสีเหลืองโบกมือตัดคำพูดของโจวเทียนรุ่ย และแหงนหน้าหัวเราะก่อนกล่าวออกมา

“คนผู้นี้ไม่ได้เข้าร่วมประลองในก่อนหน้า ทำไมอาศัยแค่ป้ายคำสั่ง ก็มีสิทธิ์เข้าสิบอันดับแรกได้?”

“นั่นน่ะสิ! หากเป็นแบบนี้กันทุกคน การประลองในรอบแรกกับรอบก่อนชิงชนะจะมีประโยชน์อันใด?”

พอคำพูดของชายอ้วนเตี้ยดังออกมา ศิษย์ที่อยู่ด้านล่างก็รู้สึกงงงันอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความไม่พอใจ

แต่ทว่าเมื่อชายอ้วนเตี้ยกวาดสายตามองไปอย่างเยือกเย็น และตามด้วยแรงกดดันของผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ที่ถูกปล่อยออกไป บรรดาศิษย์ทั้งหลายก็พากันปิดปากเงียบ ทำให้สถานที่บริเวณนั้นเงียบเป็นเป่าสากอยู่ครู่หนึ่ง

ขณะนี้ เฮ่าเยวี่ยและคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านหลังของแท่นหยก ก็ส่งเสียงคุยกันอยู่ชั่วขณะหนึ่ง

“เฮ่าเยวี่ยเจินเหริน หรือว่าป้ายคำสั่งนี้จะเป็นป้ายไท่หวา?” ชายวัยกลางคนที่มีหนวดเคราส่งเสียงเบาๆ ด้วยสีหน้าตกใจ

“หากข้ามองไม่ผิดล่ะก็ จะต้องเป็นป้ายนี้อย่างแน่นอน แต่คิดไม่ถึงว่าผู้ที่สามารถนำป้ายไท่หวาออกมาได้ ยังมีคนที่ข้าไม่รู้จักด้วย คนที่ชื่อจินเทียนชื่อผู้นี้เป็นใครกันแน่? พี่หวารู้จักหรือไม่?” เฮ่าเยวี่ยก็ส่งเสียงตอบกลับด้วยสีหน้างงงวยเช่นกัน

“แม้แต่พี่เฮ่าเยวี่ยยังไม่รู้ว่าคนผู้นี้เป็นใคร ข้าที่กักตัวฝึกฝนตลอดทั้งวันจะรู้ได้อย่างไร?” ชายวัยกลางคนที่มีหนวดเครากล่าวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น

ผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้คนอื่นๆ ก็กระซิบกระซาบกันอยู่ครู่หนึ่งแล้วพากันส่ายหน้า ประจักษ์ชัดว่าไม่มีใครรู้จักชายหนุ่มชุดคลุมสีทองผู้นี้

ในระหว่างเวลานั้น จินเทียนชื่อก็เลือกคู่ต่อสู้อย่างไม่เกรงใจ ซึ่งเป็นชายหนุ่มรูปร่างค่อนข้างกำยำผู้หนึ่ง

“ฮึ! ข้าไม่สน เจ้ามีโอกาสได้ท้าสู้เป็นกรณีพิเศษเช่นนี้ หากคิดว่าสามารถฉวยโอกาสชิงสิบอันดับแรกในงานประลองได้ล่ะก็ เจ้าคิดผิดแล้ว” หลังจากชายหนุ่มรูปร่างกำยำได้รับการท้าสู้จากจินเทียนชื่อ เขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

“เฮ่อๆ! ข้าก็แค่อยากมาร่วมสนุกเท่านั้น” จินเทียนชื่อได้ยินก็หัวเราะราวกับไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใด

ท่าทีเช่นนี้ของเขา ย่อมทำให้ชายหนุ่มรูปร่างกำยำรู้สึกโมโหมากยิ่งขึ้น

“เอาล่ะ! ในเมื่อทั้งสองต่างก็ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ แล้ว ก็เริ่มการประลองได้ ผู้ชนะจะได้เข้าร่วมประลองในรอบสิบอันดับแรก” สายตาของชายอ้วนเตี้ยที่มองจินเทียนชื่อก็ดูฉงนเล็กน้อย แต่ยังคงประกาศออกมาเช่นนี้

พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง ก็มีผู้ดำเนินการระดับผลึกคนหนึ่งเริ่มเปิดชั้นจำกัดบนแท่นประลองใหม่อีกครั้ง

จินเทียนชื่อกับชายหนุ่มรูปร่างกำยำพุ่งขึ้นบนแท่นประลองทันที

………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา