ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 583

สรุปบท ตอนที่ 583 ประลองใหญ่แปดสาขา (6): ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

สรุปตอน ตอนที่ 583 ประลองใหญ่แปดสาขา (6) – จากเรื่อง ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet

ตอน ตอนที่ 583 ประลองใหญ่แปดสาขา (6) ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 583 ประลองใหญ่แปดสาขา (6)
ตอนที่ 583 ประลองใหญ่แปดสาขา (6)
โดย
Ink Stone_Fantasy
ศิษย์ดำเนินการเพียงแค่ใช้ป้ายในมือโบกไปทางแผ่นศิลา แสงสีเขียวก็จมหายไปในนั้น

ครั้งนี้หลิ่วหมิงถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่หก ดูเหมือนว่าคนในกลุ่มจะไม่มีคนที่คุ้นเคยเลย

ส่วนโจวเทียนรุ่ย เจ้าอั้นอิน อู่หมิง โหวคุนชายหนุ่มผมขาว ต่างก็ถูกจัดอยู่ในกลุ่มอื่นๆ

“แบ่งกลุ่มครั้งนี้ ศิษย์น้องหลิ่วโชคดีไม่น้อย ตามที่ข้าทราบมา ในนี้ไม่มีศิษย์คนใดแข็งแกร่งเป็นพิเศษ” เยี่ยนหมิงมองดูสมาชิกของกลุ่มหกแล้วค่อยๆ กล่าวออกมา

“เช่นนี้ศิษย์น้องหลิ่วก็มีโอกาสเข้ารอบสิบอันดับแรกแล้วสิ” ดวงตางดงามของเสวี่ยอวิ๋นเป็นประกาย

“อันนี้ก็พูดยาก ใครจะไปรู้ล่ะว่าในนี้จะมีผู้แข็งแกร่งแฝงอยู่หรือไม่?” หลิ่วหมิงหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ

การประลองใหญ่ในรอบนี้ นอกจากวิชาขี่กระบี่แล้ว เขาไม่คิดจะปิดบังพลังที่แท้จริงใดๆ อีก ตอนนี้มีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น นั่นก็คือพยายามแย่งอันดับสูงๆ มาให้ได้ ดูสิว่าจะมีโอกาสเป็นศิษย์สายในหรือไม่

การฝึกฝนวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬของเขาในภายหน้า ต้องอาศัยถ้ำวายุสวรรค์ของนิกายในการฝึกร่าง และสถานที่จิตวิญญาณแห่งนี้ มีแต่ศิษย์สายในเท่านั้นที่มีคุณสมบัติเข้าไปได้

การต่อสู้รอบก่อนชิงชนะยังคงดำเนินการบนแท่นประลองทั้งสิบ

เป็นอย่างที่เยี่ยนหมิงคาดเดาไว้ ในกลุ่มที่หกไม่มีผู้มีพลังแข็งแกร่งแต่อย่างใด หลิ่วหมิงใช้พลังกายเนื้ออันแข็งแกร่งประกอบกับเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ ก็สามารถเอาชนะติดต่อกันได้หลายรอบ

“ศิษย์ที่ชื่อหลิ่วหมิงผู้นี้มีกายเนื้อแข็งแกร่งมาก เกรงว่าอาวุธจิตวิญญาณทั่วไปคงยากที่จะทำร้ายเขาได้ แต่วิชาที่ฝึกฝนดูเหมือนจะเป็นเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬสินะ! ศิษย์สายนอกทำไมถึงฝึกฝนวิชาของศิษย์สายในได้ล่ะ?” ดูเหมือนผู้อาวุโสชุดเหลืองผู้หนึ่ง จะเกิดความสนใจในตัวหลิ่วหมิงขึ้นมาเล็กน้อย จึงถามอย่างอดไม่ได้

“ศิษย์พี่หลู ดูเหมือนข้าจะจำคนผู้นี้ได้ หลายปีก่อนอวี้ชิงซือไท่จากสำนักเสียงมหัศจรรย์เคยพาผู้สืบทอดของลิ่วยินมาที่ยอดเขาเมฆาหยกของพวกท่าน ต่อมาทางหอคุมกฎได้แนะนำให้ไปเป็นศิษย์สายนอก ดูเหมือนจะเป็นหลิ่วหมิงผู้นี้สินะ?” หญิงวัยกลางคนที่สวมชุดเรียบๆ ได้ยินเช่นนี้ ก็หันไปถามชายแซ่หลูที่อยู่ด้านข้าง

“ไม่ผิด ตอนที่หลิ่วหมิงผู้นี้เข้านิกายนั้น ก็ได้ฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬแล้ว ทางหอคุมกฎได้พิจารณาแล้ว ก็ไม่ได้ทำลายวิชานี้ของเขา” ชายแซ่หลูพยักหน้าแล้วกล่าวออกมา

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ คนผู้นี้มีพลังไม่เลว ทั้งยังมีความสัมพันธ์ลึกล้ำกับยอดเขาเมฆาหยก เหตุใดศิษย์พี่หลูถึงไม่รับเขาไว้?” ผู้อาวุโสชุดเหลืองถามด้วยความแปลกใจ

“ศิษย์ผู้นี้มีพลังไม่เลวจริงๆ น่าเสียดายที่มีคุณสมบัติด้อยเกินไป มีเพียงแค่สามชีพจรจิตวิญญาณเท่านั้น” ชายแซ่หลูกล่าวอย่างราบเรียบ

“ที่แท้ก็มีสามชีพจรจิตวิญญาณ…..”

ผู้อาวุโสยอดเขาอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ ก็ดูเหมือนจะหมดความสนใจไปในทันที

แม้พวกเขาจะรับศิษย์สายในได้หลายคน แต่การพิจารณาถึงพลังฝึกฝนก็เป็นอีกแง่มุมหนึ่ง ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือต้องพิจารณาถึงพลังที่มีศักยภาพในอนาคตด้วย

เพราะหากมีคุณสมบัติค่อนข้างด้อยล่ะก็ แม้ภายหน้าจะทานโอสถวิเศษจำนวนมาก หรือฝึกฝนวิชาที่ดีแค่ไหน ก็เป็นการลงทุนมากแต่ให้ผลเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ภายใต้สถานการณ์ที่ยอดเขาแต่ละแห่งมีทรัพยากรจำกัด ย่อมไม่ยอมสิ้นเปลืองทรัพยากรให้กับศิษย์ที่มีคุณสมบัติต่ำเช่นนี้

หลังจากหลิ่วหมิงเอาชนะอุปสรรคทั้งหมดมาได้ ในที่สุดการต่อสู้ของกลุ่มที่หกก็มาถึงการต่อสู้ครั้งสุดท้าย

คู่ต่อสู้ของเขาเป็นชายชุดดำที่ควบคุมหุ่นวานรสองตัว

พลังของหุ่นวานรทั้งสองพอที่จะเทียบกับระดับของเหลวขั้นปลายได้ ภายใต้การกระตุ้นของชายชุดดำ มันก็กลายเป็นเงาสีดำพุ่งไปมาบนแท่นประลองอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนเงากำปั้นสีดำที่เต็มไปด้วยอานุภาพอันน่าเกรงขาม จะทำให้หลิ่วหมิงจมอยูในนั้น อานุภาพของมันยังทำให้ผู้ที่ชมการต่อสู้อยู่รู้สึกตาลายขึ้นมา ยิ่งทำให้เยี่ยนหมิงกับเสวี่ยอวิ๋นต้องแอบปาดเหงื่อแทนหลิ่วหมิง

แต่ทว่าหลิ่งหมิงที่ถูกเงากำกั้นห่อหุ้มอยู่ กลับดูราวกับพายุอันเบาบาง ร่างของเขาเคลื่อนไหวท่ามกลางหมอกดำที่ลอยวน ก็สามารถหลบเงากำปั้นได้อย่างง่ายดาย และบางครั้งยังถือโอกาสหาช่องว่างโจมตีกลับ ทำให้หุ่นวานรบางตัวกระเด็นออกไป

แต่วานรทั้งสองก็แข็งแกร่งราวกับเหล็ก มันพลิกตัวลุกขึ้นมาต่อสู้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แต่ผู้ที่ตั้งใจมองดูจะค้นพบว่า หลังจากเป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้ง กลิ่นไอของหุ่นวานรทั้งสองก็เริ่มอ่อนลงไปไม่น้อย ความเร็วของมันก็ลดช้าลงกว่าก่อนหน้านั้น

ขณะที่หลิ่วหมิงสะบัดกำปั้นโจมตีหุ่นวานรทั้งสองจนกระเด็นออกไปนั้น ร่างของเขาก็พร่ามัวมาปรากฏตัวด้านหลังชายชุดดำราวกับปีศาจ ขณะเดียวกันก็สะบัดกำปั้นทั้งสองปล่อยเงากำปั้นสีดำออกไปเช่นกัน

ชายชุดดำคิดไม่ถึงว่าหลิ่วหมิงจะเคลื่อนไหวรวดเร็วเช่นนี้ พริบตาเดียวก็รู้สึกว่าอากาศรอบตัวหนาแน่นขึ้นมา พลังกำปั้นอันน่ากลัวปิดทางถอยไว้ทั้งหมด ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ทันได้ระวัง จึงได้แต่ดันทุรังอ้าปากพ่นแสงสีดำออกมา จากนั้นก็กลายเป็นม่านแสงสีดำปกคลุมตนเองไว้

เกิดเสียงดัง “ตูม!” ตามติดด้วยเสียงดัง “เพล้ง!”

ม่านแสงสีดำถูกมุกพลังวารีประกอบกับเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬโจมตีจนแตกกระจายภายในพริบตา!

ชายชุดดำกระเด็นออกจากแท่นประลองและกระอักเลือดออกมา

และในขณะเดียวกัน อาวุธป้องกันสีดำที่มีลักษณะคล้ายเปลือกหอย ก็ร่วงลงพื้น “แต๊ก!” และเกิดรอยร้าวบนพื้นผิว

“หลิ่วหมิงจากสาขาห่านฟ้าชนะ!”

แม้ว่าหุ่นของชายชุดดำจะยังอยู่บนแท่นประลอง แต่หลังขาดการควบคุมจากเจ้าของ แสงสีแดงในดวงตาของมันก็ดับลง และยืนนิ่งอยู่กับที่ บวกกับการที่ชายชุดดำหล่นจากแท่นประลอง ประจักษ์ชัดเขาว่าพ่ายแพ้จนไม่รู้จะแพ้อย่างไรแล้ว

หลิ่วหมิงเองก็แอบถอนหายใจออกมา

หุ่นทั้งสองของฝ่ายตรงข้ามก็นับว่าไม่ธรรมดา พูดได้ว่าพอที่จะเทียบกับผู้ฝึกร่างแข็งแกร่งสองคนได้ การโจมตีและป้องกันล้วนดีงามมาก เกรงว่าผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันคงไม่อาจทำอะไรมันได้

ลูกเปลวไฟยักษ์ระเบิดออกมาในทันที และหุ่นยักษ์ก็กลายเป็นกองดินจิตวิญญาณท่ามกลางแสงเพลิง

“วิชาห้าธาตุของศิษย์น้องทรงอานุภาพยิ่งนัก แต่ว่ายังห่างชั้นกับการป้องกันของข้ามาก” โจวเทียนรุ่ยเห็นเช่นนี้ก็โบกมือใส่พลังให้กับดินจิตวิญญาณตรงหน้าด้วยสีหน้าเยือกเย็น

ดินจิตวิญญาณสีเหลืองสั่นสะเทือนอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็รวมตัวกันขึ้นมา ระยะเวลาเพียงแค่ไม่กี่อึดใจก็กลายเป็นหุ่นยักษ์พุ่งไปหาชายหนุ่มผมขาว

ประจักษ์ชัดว่าเขามองออกว่าการโจมตีของชายหนุ่มผมขาวในเมื่อครู่ ทำให้สูญเสียพลังเวทไปมาก และในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ไม่อาจทำการโจมตีเช่นเดิมได้ จึงถือโอกาสนี้ทำให้ฝ่ายตรงข้ามรับมือไม่ทัน

ชายหนุ่มผมขาวขมวดคิ้ว ร่างของเขาสั่นสะท้านเบาๆ แสงสีเขียวเปล่งประกายออกจากตัว จากนั้นก็เคลื่อนไหวจนกลายเป็นเศษเงา พริบตาเดียวก็พุ่งออกไปหลายจั้งจนสามารถหลบกำปั้นของหุ่นยักษ์ได้อย่างหวุดหวิด

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกประหลาดใจมาก

เขาเห็นอย่างชัดเจนว่า แสงสีเขียวนั้นเป็นผลลัพธ์พลังเวทของวิชาตัวเบา แต่คิดไม่ถึงว่าวิชาธาตุลมธรรมดา กลับนำมาใช้ได้ผลลัพธ์ที่ดีเช่นนี้ได้

ร่างของชายหนุ่มคล่องแคล่วปราดเปรียวเป็นอย่างมาก เคลื่อนไหวไม่กี่ทีก็สลัดหุ่นออกไปได้ จากนั้นก็เปลี่ยนทิศทางพุ่งเข้าหาโจวเทียนรุ่ย

โจวเทียนรุ่ยทีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที พอตบน้ำเต้าสีเหลือง แสงสีเหลืองก็เปล่งประกาย ทันใดนั้นหุ่นพสุธาจิตวิญญาณอีกสี่ตัวก็ถูกนำออกมา จากนั้นก็ก่อตัวเป็นค่ายกลรบต้านทานอยู่ตรงหน้าเขา

แต่ทว่าชายหนุ่มผมขาวอยู่ห่างจากโจวเทียนรุ่ยไม่กี่จั้งเท่านั้น เขาค่อยๆ หยุดชะงักลง นิ้วมือทำท่ามือแปลกๆ ขณะเดียวกันก็ร่ายคาถาออกมา พอโบกมือข้างหนึ่ง แสงหลากสีจำนวนมากก็พุ่งยิงออกไป และค่อยๆ ร่วงลงข้างตัวโจวเทียนรุ่ย

ครู่ต่อมา แสงห้าสีก็พุ่งขึ้นจากพื้นแท่นประลอง และปกคลุมหุ่นนักรบทั้งแปดของโจวเทียนรุ่ยไว้ในนั้น

“นี่คือค่ายกลยันต์?!” พอหลิ่วหมิงเขม้นตามองออกไป ก็รู้ว่าแสงหลากสีที่ชายหนุ่มผมขาวนำออกมานั้น แท้จริงแล้วเป็นยันต์โปร่งแสงแวววาวจำนวนมาก ทำให้เขารู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย

ค่ายกลยันต์ที่กล่าวถึง เป็นสิ่งที่เกิดจากการนำเอาทางสายยันต์กับทางสายค่ายกลมารวมกัน

ปกติการวางค่ายกลขนาดใหญ่เหมือนกับที่เฉินเติงวางในแดนอบอ้าว ต้องใช้คนสิบกว่าคนร่วมมือกันจึงจะจัดวางได้สำเร็จ ค่ายกลขนาดเล็กก็ต้องการกระตุ้นอีกรอบเช่นกัน

แต่ค่ายกลยันต์กลับอาศัยแค่ยันต์ที่วาดขึ้นเป็นพิเศษจำนวนหนึ่ง ก็สามารถจัดวางได้สำเร็จแล้ว แม้ว่าโดยทั่วไปจะมีอานุภาพไม่ค่อยมาก แต่จัดวางได้สะดวกและรวดเร็ว

แต่พอพลังเวทในยันต์หมดสิ้น ค่ายกลนี้ก็จะสลายไปด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงยืนหยัดได้ไม่นาน

………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา