ครั้งนี้หลิ่วหมิงถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่หก ดูเหมือนว่าคนในกลุ่มจะไม่มีคนที่คุ้นเคยเลย
ส่วนโจวเทียนรุ่ย เจ้าอั้นอิน อู่หมิง โหวคุนชายหนุ่มผมขาว ต่างก็ถูกจัดอยู่ในกลุ่มอื่นๆ
“แบ่งกลุ่มครั้งนี้ ศิษย์น้องหลิ่วโชคดีไม่น้อย ตามที่ข้าทราบมา ในนี้ไม่มีศิษย์คนใดแข็งแกร่งเป็นพิเศษ” เยี่ยนหมิงมองดูสมาชิกของกลุ่มหกแล้วค่อยๆ กล่าวออกมา
“เช่นนี้ศิษย์น้องหลิ่วก็มีโอกาสเข้ารอบสิบอันดับแรกแล้วสิ” ดวงตางดงามของเสวี่ยอวิ๋นเป็นประกาย
“อันนี้ก็พูดยาก ใครจะไปรู้ล่ะว่าในนี้จะมีผู้แข็งแกร่งแฝงอยู่หรือไม่?” หลิ่วหมิงหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
การประลองใหญ่ในรอบนี้ นอกจากวิชาขี่กระบี่แล้ว เขาไม่คิดจะปิดบังพลังที่แท้จริงใดๆ อีก ตอนนี้มีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น นั่นก็คือพยายามแย่งอันดับสูงๆ มาให้ได้ ดูสิว่าจะมีโอกาสเป็นศิษย์สายในหรือไม่
การฝึกฝนวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬของเขาในภายหน้า ต้องอาศัยถ้ำวายุสวรรค์ของนิกายในการฝึกร่าง และสถานที่จิตวิญญาณแห่งนี้ มีแต่ศิษย์สายในเท่านั้นที่มีคุณสมบัติเข้าไปได้
การต่อสู้รอบก่อนชิงชนะยังคงดำเนินการบนแท่นประลองทั้งสิบ
เป็นอย่างที่เยี่ยนหมิงคาดเดาไว้ ในกลุ่มที่หกไม่มีผู้มีพลังแข็งแกร่งแต่อย่างใด หลิ่วหมิงใช้พลังกายเนื้ออันแข็งแกร่งประกอบกับเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ ก็สามารถเอาชนะติดต่อกันได้หลายรอบ
“ศิษย์ที่ชื่อหลิ่วหมิงผู้นี้มีกายเนื้อแข็งแกร่งมาก เกรงว่าอาวุธจิตวิญญาณทั่วไปคงยากที่จะทำร้ายเขาได้ แต่วิชาที่ฝึกฝนดูเหมือนจะเป็นเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬสินะ! ศิษย์สายนอกทำไมถึงฝึกฝนวิชาของศิษย์สายในได้ล่ะ?” ดูเหมือนผู้อาวุโสชุดเหลืองผู้หนึ่ง จะเกิดความสนใจในตัวหลิ่วหมิงขึ้นมาเล็กน้อย จึงถามอย่างอดไม่ได้
“ศิษย์พี่หลู ดูเหมือนข้าจะจำคนผู้นี้ได้ หลายปีก่อนอวี้ชิงซือไท่จากสำนักเสียงมหัศจรรย์เคยพาผู้สืบทอดของลิ่วยินมาที่ยอดเขาเมฆาหยกของพวกท่าน ต่อมาทางหอคุมกฎได้แนะนำให้ไปเป็นศิษย์สายนอก ดูเหมือนจะเป็นหลิ่วหมิงผู้นี้สินะ?” หญิงวัยกลางคนที่สวมชุดเรียบๆ ได้ยินเช่นนี้ ก็หันไปถามชายแซ่หลูที่อยู่ด้านข้าง
“ไม่ผิด ตอนที่หลิ่วหมิงผู้นี้เข้านิกายนั้น ก็ได้ฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬแล้ว ทางหอคุมกฎได้พิจารณาแล้ว ก็ไม่ได้ทำลายวิชานี้ของเขา” ชายแซ่หลูพยักหน้าแล้วกล่าวออกมา
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ คนผู้นี้มีพลังไม่เลว ทั้งยังมีความสัมพันธ์ลึกล้ำกับยอดเขาเมฆาหยก เหตุใดศิษย์พี่หลูถึงไม่รับเขาไว้?” ผู้อาวุโสชุดเหลืองถามด้วยความแปลกใจ
“ศิษย์ผู้นี้มีพลังไม่เลวจริงๆ น่าเสียดายที่มีคุณสมบัติด้อยเกินไป มีเพียงแค่สามชีพจรจิตวิญญาณเท่านั้น” ชายแซ่หลูกล่าวอย่างราบเรียบ
“ที่แท้ก็มีสามชีพจรจิตวิญญาณ…..”
ผู้อาวุโสยอดเขาอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ ก็ดูเหมือนจะหมดความสนใจไปในทันที
แม้พวกเขาจะรับศิษย์สายในได้หลายคน แต่การพิจารณาถึงพลังฝึกฝนก็เป็นอีกแง่มุมหนึ่ง ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือต้องพิจารณาถึงพลังที่มีศักยภาพในอนาคตด้วย
เพราะหากมีคุณสมบัติค่อนข้างด้อยล่ะก็ แม้ภายหน้าจะทานโอสถวิเศษจำนวนมาก หรือฝึกฝนวิชาที่ดีแค่ไหน ก็เป็นการลงทุนมากแต่ให้ผลเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ภายใต้สถานการณ์ที่ยอดเขาแต่ละแห่งมีทรัพยากรจำกัด ย่อมไม่ยอมสิ้นเปลืองทรัพยากรให้กับศิษย์ที่มีคุณสมบัติต่ำเช่นนี้
หลังจากหลิ่วหมิงเอาชนะอุปสรรคทั้งหมดมาได้ ในที่สุดการต่อสู้ของกลุ่มที่หกก็มาถึงการต่อสู้ครั้งสุดท้าย
คู่ต่อสู้ของเขาเป็นชายชุดดำที่ควบคุมหุ่นวานรสองตัว
พลังของหุ่นวานรทั้งสองพอที่จะเทียบกับระดับของเหลวขั้นปลายได้ ภายใต้การกระตุ้นของชายชุดดำ มันก็กลายเป็นเงาสีดำพุ่งไปมาบนแท่นประลองอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนเงากำปั้นสีดำที่เต็มไปด้วยอานุภาพอันน่าเกรงขาม จะทำให้หลิ่วหมิงจมอยูในนั้น อานุภาพของมันยังทำให้ผู้ที่ชมการต่อสู้อยู่รู้สึกตาลายขึ้นมา ยิ่งทำให้เยี่ยนหมิงกับเสวี่ยอวิ๋นต้องแอบปาดเหงื่อแทนหลิ่วหมิง
แต่ทว่าหลิ่งหมิงที่ถูกเงากำกั้นห่อหุ้มอยู่ กลับดูราวกับพายุอันเบาบาง ร่างของเขาเคลื่อนไหวท่ามกลางหมอกดำที่ลอยวน ก็สามารถหลบเงากำปั้นได้อย่างง่ายดาย และบางครั้งยังถือโอกาสหาช่องว่างโจมตีกลับ ทำให้หุ่นวานรบางตัวกระเด็นออกไป
แต่วานรทั้งสองก็แข็งแกร่งราวกับเหล็ก มันพลิกตัวลุกขึ้นมาต่อสู้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ผู้ที่ตั้งใจมองดูจะค้นพบว่า หลังจากเป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้ง กลิ่นไอของหุ่นวานรทั้งสองก็เริ่มอ่อนลงไปไม่น้อย ความเร็วของมันก็ลดช้าลงกว่าก่อนหน้านั้น
ขณะที่หลิ่วหมิงสะบัดกำปั้นโจมตีหุ่นวานรทั้งสองจนกระเด็นออกไปนั้น ร่างของเขาก็พร่ามัวมาปรากฏตัวด้านหลังชายชุดดำราวกับปีศาจ ขณะเดียวกันก็สะบัดกำปั้นทั้งสองปล่อยเงากำปั้นสีดำออกไปเช่นกัน
ชายชุดดำคิดไม่ถึงว่าหลิ่วหมิงจะเคลื่อนไหวรวดเร็วเช่นนี้ พริบตาเดียวก็รู้สึกว่าอากาศรอบตัวหนาแน่นขึ้นมา พลังกำปั้นอันน่ากลัวปิดทางถอยไว้ทั้งหมด ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ทันได้ระวัง จึงได้แต่ดันทุรังอ้าปากพ่นแสงสีดำออกมา จากนั้นก็กลายเป็นม่านแสงสีดำปกคลุมตนเองไว้
เกิดเสียงดัง “ตูม!” ตามติดด้วยเสียงดัง “เพล้ง!”
ม่านแสงสีดำถูกมุกพลังวารีประกอบกับเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬโจมตีจนแตกกระจายภายในพริบตา!
ชายชุดดำกระเด็นออกจากแท่นประลองและกระอักเลือดออกมา
และในขณะเดียวกัน อาวุธป้องกันสีดำที่มีลักษณะคล้ายเปลือกหอย ก็ร่วงลงพื้น “แต๊ก!” และเกิดรอยร้าวบนพื้นผิว
“หลิ่วหมิงจากสาขาห่านฟ้าชนะ!”
แม้ว่าหุ่นของชายชุดดำจะยังอยู่บนแท่นประลอง แต่หลังขาดการควบคุมจากเจ้าของ แสงสีแดงในดวงตาของมันก็ดับลง และยืนนิ่งอยู่กับที่ บวกกับการที่ชายชุดดำหล่นจากแท่นประลอง ประจักษ์ชัดเขาว่าพ่ายแพ้จนไม่รู้จะแพ้อย่างไรแล้ว
หลิ่วหมิงเองก็แอบถอนหายใจออกมา
หุ่นทั้งสองของฝ่ายตรงข้ามก็นับว่าไม่ธรรมดา พูดได้ว่าพอที่จะเทียบกับผู้ฝึกร่างแข็งแกร่งสองคนได้ การโจมตีและป้องกันล้วนดีงามมาก เกรงว่าผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันคงไม่อาจทำอะไรมันได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา