เข้าสู่ระบบผ่าน

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 590

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 590 การประลองของสิบอันดับแรก (6)
ตอนที่ 590 การประลองของสิบอันดับแรก (6)
โดย
Ink Stone_Fantasy
เจ้าอั้นอินมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ข้อมือของนางชี้ออกไปติดต่อกัน ทันใดนั้นแสงเย็นสะท้านสิบกว่าลำก็ม้วนตัวออกไป ขณะเดียวกันร่างของนางก็พุ่งถอยออกไปอย่างรวดเร็ว

ดวงตาหลิ่วหมิงเปล่งประกายเยือกเย็น เขาเพียงแค่คว้ามือข้างหนึ่งไปบนอากาศ แสงสีทองก็ดับลง และกลายเป็นมือยักษ์สีทองข้างหนึ่งที่มีขนาดใหญ่หลายจั้ง และตบไปด้านหน้าทันที

ดาบสั้นปล่อยลำแสงเย็นสะท้านสิบกว่าลำโจมตีลงบนมือยักษ์ แต่มีแค่จุดแสงสีทองสาดกระเด็นเท่านั้น

จากนั้นฝ่ามือยักษ์ก็กางนิ้วทั้งห้าปิดกั้นการหลบหลีกบนล่างซ้ายขวาหญิงสาวไว้ และพร่ามัวไล่ตามฝ่ายตรงข้ามจนทัน

“เพล้ง!” แม้ว่าเจ้าอั้นอินจะต้านทานอย่างสุดชีวิต แต่ก็ยังถูกฝ่ามือยักษ์สีทองโจมตีจนอาวุธจิตวิญญาณในมือของนางกระเด็นออกไป และถือโอกาสตบนางจนกระเด็นออกไปนอกแท่นประลองด้วย

“หลิ่วหมิงจากสาขาห่านฟ้าชนะ!” ผู้ดำเนินการระดับผลึกประกาศออกมาทันที

“ออมมือแล้ว!”

หลิ่วหมิงประสานมือคารวะหญิงที่ยืนอยู่ด้านล่างแท่นประลองด้วยสีหน้าไม่พอใจ จากนั้นก็โบกมือเก็บหุ่นสี่ทิศกับทรายทองคำร่วงเข้าไป หัวบินกับแมงป่องกระดูกในขณะนี้ ก็ปล่อยหมาป่าเงินสามหัวออกมา จากนั้นก็กลายเป็นแสงสีดำสองลำม้วนตัวเข้าไปในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณ

“เจ้าอั้นอินก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของศิษย์ผู้นี้……”

หลังจากหลิ่วหมิงเอาชนะในรอบนี้ได้ ย่อมทำให้บรรดาศิษย์ทั้งหลายทำการวิพากษ์วิจารณ์กันอีกรอบ และดึงดูดสายตาของผู้แข็งแกร่งระดับผลึกบนแท่นหยกขึ้นมา

แต่เมื่อเทียบกับหลายครั้งในก่อนหน้านั้นแล้ว ครั้งนี้มีคนรู้สึกตกใจไม่มากนัก

“สามารถควบคุมหุ่นสี่ทิศได้อย่างชำนาญเช่นนี้ หลิ่วหมิงผู้นี้คงมีพลังจิตแข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นต้นทั่วไป” หญิงชุดแดงผู้นั้นเผยสีหน้าลังเลออกมา แต่พอนึกถึงร่างสามชีพจรจิตวิญญาณของหลิ่วหมิง นางก็ส่ายหน้าและถอนหายใจออกมาในที่สุด

หากว่าคุณสมบัติของหลิ่วหมิงสูงขึ้นอีกหน่อย เกรงว่าต่อให้เป็นแค่หกชีพจรจิตวิญญาณ นางก็จะรับเขาเป็นศิษย์อย่างไม่ลังเล

แต่ว่าการที่สามชีพจรจิตวิญญาณเข้าสู่ระดับผลึก ก็ใช่ว่าจะไม่เคยมีในนิกายยอดบริสุทธิ์มาก่อน แต่ล้วนเป็นตระกูลใหญ่ที่มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย ใช้ทรัพย์สมบัติที่สะสมมาถึงทำให้บรรลุได้ แต่ก็หยุดชะงักอยู่ที่ระดับผลึกขั้นต้นตลอดชีวิต

ด้วยสถานการณ์ของหลิ่วหมิงในตอนนี้ ความหวังนี้ช่างดูเลือนรางจริงๆ

ด้านล่างแท่นประลอง หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิในทันที หลังจากหยิบโอสถจินหยวนออกมาทานหนึ่งเม็ดแล้ว ก็เริ่มทำการฟื้นฟูพลังเวทโดยไม่มีเวลาไปชมการประลองคู่อื่นอีก

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม การประลองรอบที่เก้าที่เริ่มขึ้นในที่สุด

คู่ต่อสู้ของหลิ่วหมิงในรอบนี้เป็นจินเทียนชื่อย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งสองต่างก็เป็นผู้ที่ได้รับชัยชนะมาโดยตลอด นี่เป็นรอบสุดท้ายที่จะตัดสินว่าอันดับหนึ่งจะเป็นของใคร

ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าการประลองทั้งห้าคู่จะเริ่มขึ้นพร้อมกัน แต่นอกจากศิษย์ไม่กี่คนที่ยังอยู่ข้างแท่นประลองทั้งสี่แล้ว สายตาของคนกว่าครึ่งหนึ่งบนยอดเขาเมฆาเลิศล้ำ ก็มองมาทางแท่นประลองนี้

“ก่อนหน้านั้นพี่หลิ่วต่อสู้อย่างดุเดือดติดต่อกันสองรอบ พลังเวทคงยังฟื้นฟูไม่หมดสินะ หากข้าลงมือกับพี่หลิ่วตอนนี้ มันจะดูไม่ยุติธรรมไปหน่อย” พอจินเทียนชื่อเดินขึ้นบนแท่นประลอง ก็สังเกตดูหลิ่วหมิงทีหนึ่ง และไม่รีบลงมือแต่อย่างใด แต่กลับหัวเราะแล้วกล่าวออกมา

หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้าน จินเทียนชื่อยังคงยิ้มชื่นมื่น แต่สายตาของเขากลับทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกแปลกๆ ราวกับว่าสามารถมองทะลุส่วนลึกของหัวใจได้

สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกหวาดกลัวจินเทียนชื่อขึ้นมาไม่น้อย แต่ยังคงยิ้มโดยที่ไม่กล่าวอะไรออกมา

“ศิษย์น้องหลิ่วสามารถควบคุมอาวุธจิตวิญญาณได้หลายชิ้น ทั้งยังเชี่ยวชาญการควบคุมหุ่น จะต้องมีพลังจิตเหนือกว่าผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันเป็นแน่ พวกเรามาแข่งเรื่องความแข็งแกร่งของพลังจิตกับพลังในการควบคุมดีไหม? ข้าจะยื่นข้อเสนอให้เปิดการประลองจิตวิญญาณบนแท่นประลองนี้ ศิษย์น้องคงไม่คัดค้านหรอกนะ?” จินเทียนชื่อเห็นหลิ่วหมิงไม่พูดอะไร เขาจึงหาวและกล่าวออกมาเช่นนี้

หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็ไม่ได้เผยสีหน้าผิดปกติใดๆ แต่กลับใจเต้นขึ้นมา

การต่อสู้อย่างดุเดือดในสองรอบก่อนหน้า ทำให้เขาสูญเสียพลังเวทไปกว่าครึ่งหนึ่ง แม้ว่าจะทานโอสถจินหยวนฟื้นฟูไปหนึ่งรอบแล้ว แต่พลังเวทภายในร่างยังคงฟื้นฟูไม่ถึงขีดสุด

และคนตรงหน้ากลับเอาชนะการประลองทั้งสองรอบในก่อนหน้านั้นได้อย่างง่ายดาย วิชาแปลกประหลาดของเขาสามารถพูดได้ว่าไม่เคยได้ยินมาก่อน และตัวหลิ่วหมิงเองก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะได้

แต่หากประลองพลังจิตล่ะก็ ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นผู้ที่มีพลังจิตเหนือกว่าผู้อื่นหรือว่าจะเชี่ยวชาญวิชาพลังจิตอื่นๆ แต่ด้วยพลังจิตของเขาที่พอจะเทียบกับระดับผลึกได้ ประกอบกับมีหนอนพลังจิตอยู่ในมือ คงจะไม่มีเหตุผลใดที่ต้องพ่ายแพ้

สำหรับการประลองจิตวิญญาณที่จินเทียนชื่อพูดถึง หลิ่วหมิงก็พอจะรู้อยู่บ้าง เพียงแค่อาศัยอาวุธจิตวิญญาณพิเศษบางอย่าง ซึ่งเป็นวิธีการประลองพลังจิตที่สังเกตได้ง่ายกว่า

วิธีการประลองเช่นนี้ เกิดขึ้นในระหว่างผู้ฝึกฝนระดับต่ำด้วยกันไม่มาก ส่วนมากจะแพร่หลายในผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นไป

เพราะการประลองตั้งแต่ระดับผลึกขึ้นไปจนกระทั่งถึงระดับแก่นแท้ ภายในพริบตาเดียวก็มีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก และผู้ที่มีระดับการฝึกฝนใกล้เคียงกัน มักจะต่อสู้กันหลายวัน แม้กระทั่งอาจจะยั้งมือไม่ทัน ทำให้ฝ่ายตรงข้ามได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งการประลองจิตวิญญาณรวดเร็วและปลอดภัยกว่ามาก

ภายใต้การจับตามองของฝูงชน หลิ่วหมิงก็เงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็พยักหน้าเอ่ยออกมา

“ในเมื่อพี่จินต้องการเช่นนี้ ข้าย่อมตอบสนองตามนั้น”

“ดี! ศิษย์น้องหลิ่วเป็นคนตรงไปตรงมาจริงๆ ผู้อาวุโสท่านนี้ รบกวนท่านนำแผ่นห้าธาตุมาชุดหนึ่งเถิด!” จินเทียนชื่อได้ยินก็หัวเราะออกมา จากนั้นก็หันไปกล่าวกับผู้อาวุโสชุดเหลืองที่อยู่ข้างแท่นประลอง

หลิ่วหมิงได้ยินก็ตาเป็นประกายขึ้นมา

ผู้อาวุโสชุดเหลืองผู้นี้มีสีหน้าเหลืองซีด แลดูอัปลักษณ์เล็กน้อย แต่เขาแตกต่างกับผู้ดำเนินการตัดสินระดับผลึกในก่อนหน้า ซึ่งไม่สามารถรับรู้กลิ่นไอได้เลยแม้แต่น้อย

แสงสีแดงเปล่งประกายท่ามกลางทะเลทรายเปล่าเปลี่ยว ทันใดนั้นมนุษย์แสงสีแดงขนาดใหญ่ก็ปรากฏออกมา มองดูไกลๆ ราวกับว่ามันสูงสิบกว่าจั้ง

ขณะเดียวกัน อีกด้านของแท่นประลองก็มีลำแสงสีทองปรากฏออกมาเช่นกัน ซึ่งมาจากแผ่นทรงกลมสีทองในมือของจินเทียนชื่อ พอมันเปล่งประกาย ก็มีมนุษย์แสงสีทองปรากฏอยู่อีกด้านหนึ่งของม่านแสง ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับมนุษย์แสงสีแดง

มนุษย์ยักษ์ทั้งสองต่างก็ยืนคุมเชิงกันอยู่ ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกายแวววาวที่ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกหวาดกลัว

“ฮึ่ม……!” มนุษย์แสงสีแดงส่งเสียงคำรามออกมา และก้าวยาวๆ ไปยังมนุษย์แสงสีทอง กำปั้นขนาดใหญ่ถูกแสงแวววาวห่อหุ้มไว้ และกระแทกไปที่ศีรษะของมนุษย์แสงสีทอง

มนุษย์แสงสีทองย่อตัวหลบพ้นไปได้ ขณะเดียวกันก็ปล่อยกำปั้นใส่คอของมนุษย์แสงสีแดง

มนุษย์แสงสีแดงไม่หลบหลีกเลยแม้แต่น้อย มันพลิกกำปั้นออกไปรับมือโดยตรง จากนั้นมนุษย์แสงทั้งสองก็ต่อสู้กันพัลวัน มีการแลกกำปั้นกันไปมาอย่างดุเดือด

ทันใดนั้น มนุษย์แสงสีแดงไม่ทันระวัง ไหล่ข้างหนึ่งจึงถูกฝ่ามือสีทองฟันหลุดออกมา

ทันใดนั้น มนุษย์ยักษ์สีแดงส่งเสียงคำรามและกลายเป็นอสรพิษยักษ์สีแดงตัวหนึ่ง มันรัดพันมนุษย์ยักษ์สีทองไว้อย่างแน่นหนา คมเขี้ยวแหลมคมขนาดใหญ่กัดลงบนคอหอยของมนุษย์ยักษ์สีทองอย่างไม่ปราณี

พอแสงสีทองเปล่งประกาย มนุษย์ยักษ์ก็กลายเป็นวิหคยักษ์สีทองดิ้นหลุดออกจากอสรพิษยักษ์ได้ มันกระพือปีกบินไปบนอากาศ และพุ่งเข้าใส่หัวของอสรพิษยักษ์สีแดงในทันที

ในระหว่างเวลานั้น ทั้งสองก็เปลี่ยนรูปร่างเป็นอสูรประหลาดต่างๆ แสงสีแดงทองเปล่งประกายภายในม่านแสงอย่างต่อเนื่อง และทั้งสองก็ต่อสู้กันเป็นพัลวัน

อานุภาพของอสูรประหลาดเหล่านี้ มันแสดงถึงพลังทางจิตของผู้ควบคุมในระดับหนึ่ง และเพียงแค่เติมพลังจิตเข้าไปติดต่อกัน ก็จะทำการต่อสู้ได้อย่างต่อเนื่อง และในระหว่างการต่อสู้ พอถูกโจมตีก็จะทำให้พลังจิตลดลงไปมาก

แต่ทว่าทั้งสองฝ่ายต่างโจมตีกันจนถึงบัดนี้ ก็ยังไม่มีใครอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเลยแม้แต่น้อย หลิ่วหมิงกับจินเทียนชื่อยังคงไม่มีใครตกเป็นเบี้ยล่าง

หลังจากเวลาผ่านไปครึ่งถ้วยชา พลันมีเสียง “เปรี๊ยะๆ!” ดังมาจากม่านแสง!

หมียักษ์ทางด้านจินเทียนชื่ออ้าปากขนาดใหญ่กัดคอของหมาป่ายักษ์สีแดงที่หลิ่วหมิงใช้พลังจิตสร้างขึ้นมา

หลิ่วหมิงที่นั่งอีกด้านของแท่นประลองขมวดคิ้วเล็กน้อย ภายใต้แสงสีแดงที่เปล่งประกาย หมาป่ายักษ์สีแดงกลายเป็นแสงกระพริบแวววับพุ่งออกไปด้านหลัง

หลังจากแสงสีแดงเปล่งประกายอีกครั้ง บาดแผลบริเวณคอของหมาป่ายักษ์ก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ แต่ว่าแสงสีแดงบนตัวกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นครั้งแรก ซึ่งมืดลงกว่าตอนแรกไม่น้อย

………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา