ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 594

สรุปบท ตอนที่ 594 จี้หยก: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

สรุปเนื้อหา ตอนที่ 594 จี้หยก – ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet

บท ตอนที่ 594 จี้หยก ของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 594 จี้หยก
ตอนที่ 594 จี้หยก
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลิ่วหมิงโบกมือข้างหนึ่งเก็บกระบี่เล็กกลับมา และร่ายคาถาออกมาสองสามคำ พอทำท่ามือด้วยมือทั้งสอง ไอดำบนพื้นผิวก็ม้วนตัวออกมา จากนั้นร่างของเขาก็พร่ามัวในพริบตา

ครู่ต่อมา ได้เกิดฉากแปลกประหลาดขึ้น!

ร่างหลิ่วหมิงบิดเบี้ยวแปลกประหลาดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หายวับผ่านเงากระบี่จำนวนมากโดยไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย

“นี่คือวิชาอะไร?”

ซาทงเทียนเห็นเช่นนี้ย่อมรู้สึกประหลาดใจมาก เขาไม่อาจวินิจฉัยสถานการณ์ตรงหน้าได้ชั่วขณะ เขาพอตัดสินใจทำท่ามือด้วยมือทั้งสองอีกครั้ง เงากระบี่จำนวนมากที่อยู่ไม่ไกลก็ดับลง จากนั้นก็กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวหมุนวนพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงอีกครั้ง

หลิ่วหมิงกระแทกเท้าข้างหนึ่งลงพื้นทันที มีแสงสลัวๆ บนตัว จากนั้นร่างของเขาก็กลายเป็นเงาร่างจางๆ พุ่งเข้าหาซาทงเทียน

ซาทงเทียนหัวเราะอย่างเยือกเย็น พอพลิกมือข้างหนึ่ง กระบี่สีดำแวววาวก็ปรากฏบนมือ ทันใดนั้นแสงกระบี่สีขาวโพลนก็ม้วนตัวไปรับมือกับหลิ่วหมิง

“ฟู่!”

เงาที่หลิ่วหมิงกลายร่างมา ยืดยาวราวกับสายยาง จากนั้นก็บิดตัวอย่างแปลกประหลาดไม่กี่ที ก็ปลิวสะบัดผ่านแสงกระบี่อันครั่นคร้ามไป

ซาทงเทียนรู้สึกใจเย็นสะท้าน ขณะที่คิดจะกระตุ้นกระบี่สีดำในมือนั้น ภาพตรงหน้าก็พร่ามัว หลิ่วหมิงที่เดิมทีอยู่ห่างออกไปเจ็ดแปดจั้ง กลับพร่ามัวกระโจนมาตรงหน้าเขา

ซาทงเทียนตกใจจนหน้าถอดสี และรีบพุ่งถอยออกไปสิบกว่าจั้งในทันที จากนั้นถึงหมุนตัวหนึ่งรอบแล้วร่อนลงบนแท่นประลอง

และแสงสีดำสลัวๆ บนตัวหลิ่วหมิงกลับสลายไป เขายืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน เพียงแค่จ้องมองฝ่ายตรงข้ามด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม

แม้ว่าซาทงเทียนจะเป็นผู้มีใจลุ่มลึกมาโดยตลอด แต่พอเห็นฉากเช่นนี้ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา จากนั้นก็ยกมือเก็บกระบี่อีกเล่มกลับมา และกล่าวอย่างเยือกเย็น

“ข้ายอมแพ้!”

จากนั้นก็กระโดดลงจากแท่นประลอง

หลังจากซาทงเทียนเห็นท่าร่างของหลิ่วหมิงที่แปลกประหลาดยิ่งกว่าเดิม ก็รู้ว่าตนเองไม่มีโอกาสชนะมากนัก จึงยอมแพ้แต่โดยดี

ฉากที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ ทำให้ศิษย์ที่ชมการประลองอยู่รอบด้านหยุดการตอบสนองไปชั่วขณะ พอได้ยินซาทงเทียนบอกว่ายอมแพ้ ถึงกับพากันฮือฮาขึ้นมา

ขณะเดียวกันนี้ แม้ว่าศิษย์ระดับผลึกสองคนที่ตามซาทงเทียนมา จะไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา แต่หลังจากมองหน้ากันแล้ว ต่างก็เห็นความตกใจในแววตาของอีกฝ่าย

เหลียงจ้านเกอที่อยู่บนแท่นประลองกลับพยักหน้า และประกาศผลออกมา

และซาทงเทียนก็ขี่เมฆทะยานฟ้าไปกับพรรคพวกทั้งสองโดยไม่พูดอะไรออกมา

แม้ว่าสีหน้าหลิ่วหมิงจะไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าเคล็ดวิชาเงาสามส่วนนี้ใช้ได้ผลเป็นอย่างมาก แค่ขั้นแรกก็มหัศจรรย์ถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าถ้าฝึกขั้นที่สองสำเร็จ และสร้างเงาร่างแปลกปลอมขึ้นมาจะมีผลลัพธ์มหัศจรรย์ถึงเพียงใด

เขาคิดเช่นนี้อยู่ในใจ หลังจากโค้งคารวะเหลียงจ้านเกอแล้ว ก็ล่องลอยจากไปเช่นกัน

ไม่นาน เรื่องที่หลิ่วหมิงเงียบหายไปสองปีจากงานประลองใหญ่ของศิษย์สายนอก และเอาชนะซาทงเทียนที่เป็นศิษย์สายในได้ ก็ถูกเผยแพร่ในบรรดาศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ สิ่งนี้ย่อมทำให้เกิดความฮือฮาขึ้นมาอีกครั้ง

แต่หลิ่วหมิงกลับไม่สนใจเรื่องเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย หลังกลับไปถึงถ้ำที่พักก็เข้าไปกักตัวฝึกฝนในห้องลับ

เมื่อกาลเวลาค่อยๆ ล่วงเลยผ่านไป หลิ่วหมิงก็อยู่ที่นิกายสายนอกมานานหลายปีแล้ว

ในระหว่างเวลานี้ นอกจากเขาจะไปตลาดแล้ว ก็ดูเหมือนจะไม่ออกจากถ้ำที่พักเลย และย่อมไม่ได้ปรากฏตัวต่อหน้าศิษย์สายนอกคนอื่นๆ การประลองเล็กในสาขาก็ไม่ได้เข้าร่วม

นอกจากจะปรุงโอสถ ทานโอสถ และฝึกฝนเคล็ดวิชาแล้ว เขายังเข้าไปฝึกฝนในแดนมายาทุกวันด้วย

หลังผ่านการฝึกฝนใช้เคล็ดวิชาเงาร่างสามส่วนขั้นที่หนึ่งจนชำนาญ เมื่อหลิ่วหมิงที่กลายร่างเป็นปีศาจเผชิญกับราชาปีศาจสมุทรระดับแก่นแท้ ก็มีโอกาสชนะมากขึ้นกว่าก่อนหน้านั้นเล็กน้อย

เมื่อกาลเวลาเคลื่อนย้ายผ่านไป หลิ่วหมิงก็ค่อยๆ จางหายไปจากสายตาของบรรดาศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ ทิ้งไว้เพียงข่าวลือที่เกี่ยวข้องกับเขาเท่านั้น

เพราะนิกายยอดบริสุทธิ์ที่สืบทอดมาไม่รู้กี่หมื่นปีมานี้ จุดสนใจของผู้คนถูกเคลื่อนย้ายได้ง่ายมาก

ห้าปีต่อมา

ยอดเขาสูงใหญ่นับร้อยนับพันที่อยู่ท่ามกลางเทือกเขาหมื่นวิญญาณที่มีเมฆหมอกรายล้อม ยังคงตั้งตระหง่านอย่างสงบเหมือนกับนับพันนับหมื่นปีที่ผ่านพ้นไป

มีแสงแปลกประหลาดพุ่งออกจากยอดเขาแต่ละแห่ง และพุ่งไปยังยอกเขาอีกแห่งอยู่ไม่ขาด ทิ้งร่องรอยจางๆ ไว้บนอากาศ

สถานที่บางแห่งด้านหลังยอดเขาเลื่อนลอยที่สูงเสียดเมฆ ริมลำธารใสสะอาดที่เห็นฝูงมัจฉาแหวกว่ายไปมา มีหอประณีตงดงามที่สร้างขึ้นติดภูเขาอยู่หลังหนึ่ง

ดูเหมือนว่าด้านนอกของหอแห่งนี้ จะปกคลุมไปด้วยชั้นจำกัดม่านแสงที่ดูคล้ายกับคลื่นวารีสีฟ้า

ภายในหอ แสงสีม่วงเข้มกำลังขยายและหดตัวเป็นจังหวะอย่างต่อเนื่อง พอมันสัมผัสกับชั้นจำกัดรอบด้านเล็กน้อย ก็กระตุ้นให้เกิดระลอกคลื่นสีฟ้าอยู่พักหนึ่ง

ไม่นาน ขณะที่เกิดเสียงสั่นสะเทือนของหุบเขาอย่างชัดเจน ลำแสงสีม่วงขนาดใหญ่ก็พุ่งออกจากหอ และทะลุออกจากม่านแสงสีฟ้าที่อยู่ด้านบน จากนั้นก็หายไปบนท้องฟ้า ลำแสงนี้มีแสงสีม่วงหมุนวนเป็นเกลียวราวกับเมฆที่มีแสงเรืองรอง

ซาทงเทียนกลับไม่ยอมพูดอะไรมาก ยังคงจ้องมองยอดเขาเลื่อนลอยด้วยแววตาหลงใหล ดวงตาดูปรือเล็กน้อย

แวบแรกที่เขาเห็นเจียหลานในงานเฉลิมฉลองเมื่อหลายปีก่อน ก็ตกตะลึงในความงามและพลังอันน่าตกใจของนาง ตั้งแต่นั้นมาก็หาข้ออ้างต่างๆ เข้าออกยอดเขาเลื่อนลอยอยู่บ่อยๆ แต่ทว่าเจียหลานกลับมีท่าทีเฉยๆ กับเขามาโดยตลอด ทำให้เขาระทมทุกข์อยู่ไม่หยุด

บนต้นไม้ที่ซ่อนอยู่บนยอดเขาสูงชันอีกลูก จินเทียนชื่อกำลังดื่มสุรารสเลิศจากน้ำเต้าสีเงินในมือ และมองดูปรากฏการณ์ทางด้านยอดเขาเลื่อนลอยด้วยสีหน้าครุ่นคิดอยู่เป็นระยะๆ ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

……

หลายวันต่อมา ข่าวที่เจียหลานเข้าสู่ระดับผลึกสำเร็จ ก็ค่อยๆ แพร่กระจายไปในนิกายยอดบริสุทธิ์ ทำให้ผู้คนรู้สึกสนใจเป็นจำนวนมาก

เพราะใบหน้างดงามของเจียหลานได้รับการพูดถึงจากศิษย์ชายจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นศิษย์สายในหรือสายนอก ล้วนให้ความสนใจนางทั้งสิ้น

แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดนางถึงรีบกักตัวหลังจากเข้าสู่ระดับผลึกสำเร็จ

หลังจากผ่านไปช่วงหนึ่ง ข่าวนี้ก็ค่อยๆ เงียบลงไป

……

ครึ่งปีต่อมา

หลิ่งหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องลับ ในมือกำลังถือจี้หยกสีดำมืดด้วยสีหน้าครุ่นคิด

จี้หยกนี้มีเนื้อเป็นสีดำมืด จะว่าเป็นไม้ก็ไม่ใช่เป็นโลหะก็ไม่เชิง รูปร่างก็แปลกประหลาดยิ่งนัก ด้านหน้ามีภาพดวงดาวประทับอยู่ ด้านหลังกลับมีคำว่าดาวเป๋ยโต่ว[1]ประทับอยู่

สิ่งนี้หลิ่วหมิงได้มาจากยันต์เก็บของของปีศาจหยินหยาง

ตอนนั้นเขาใช้จิตกวาดดูแล้วก็ไม่ค้นพบอะไรเป็นพิเศษ จึงคิดว่าของสิ่งนี้เป็นแค่อาวุธเวททั่วไปเท่านั้น ถึงได้เอามันใส่ไว้ในแหวนย่อส่วนโดยไม่ได้สนใจอีก

แต่ทว่าในหลายวันก่อนที่หลิ่วหมิงไปค้นคว้าคัมภีร์ในหอเก็บคัมภีร์นั้น กลับค้นพบบันทึกเกี่ยวกับของสิ่งนี้โดยไม่ตั้งใจ ทำให้เขารู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก

………………………………

[1] ดาวเป๋ยโต่ว คือกลุ่มดาวหมีใหญ่หรือกลุ่มดาวจระข้ กลุ่มดาวนี้มีอิทธิพลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนจีนในอดีตเป็นอย่างมาก

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา