ขณะที่หลิ่วหมิงกวาดสายตาผ่านนั้น กลับมองเห็นเงาร่างคุ้นเคยของใครบางคน
ถัดจากชั้นไม้สีดำที่สามทางด้านซ้าย หญิงสาวงดงาม รูปร่างอรชร สวมชุดกระโปรงยาวสีฟ้า กำลังเอาแผ่นหยกที่เปล่งแสงสีเงินแปะหน้าผากอยู่ นางคือเจียหลานนั่นเอง
ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังลังเลอยู่นั้น นางก็หันหน้ามาโดยฉับพลัน ใบหน้าเผยแววประหลาดใจออกมา ดวงตางดงามกลอกไปมาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนำแผ่นหยกวางไว้บนชั้นไม้ และเดินตรงเข้าหาหลิ่วหมิง
“ที่แท้ก็คือพี่หลิ่ว ไม่เจอกันนานหลายปี คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอกันที่นี่” หลิ่วหมิงไม่ทันเอ่ยปาก ริมฝีปากแดงของเจียหลานก็เริ่มพูดขึ้นมาก่อน
“ไม่เจอกันนานจริงๆ” หลิ่วหมิงจ้องมองเจียหลานด้วยแววตาซับซ้อน และค่อยๆ กล่าวออกมา
“ได้ยินมาว่าพี่หลิ่วได้อันดับหนึ่งในงานประลองใหญ่ของแปดสาขา ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นยิ่งนัก ข้ารู้พลังของพี่หลิ่วดี ช้าเร็วอย่างไรก็ต้องมีชื่อเสียงในศิษย์สายนอกแน่นอน” ดูเหมือนเจียหลานจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ประจักษ์ชัดว่าแม้นางจะอยู่ในนิกาย แต่ก็ค่อนข้างรู้เรื่องเกี่ยวกับงานประลองใหญ่ของศิษย์สายนอกดี
“ศิษย์น้องเจียหลานชมเกินไปแล้ว ข้าก็แค่ดวงดีเอาชนะมาได้เท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าการฝึกฝนของเจ้า จะเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย” ภายใต้การกวาดจิตดูของหลิ่วหมิง เขาค้นพบว่าระดับการฝึกฝนของนางเข้าใกล้ระดับของเหลวขั้นปลายอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ซึ่งดูเหมือนว่าจะสูงกว่าตัวเองเล็กน้อย เขาจึงหัวเราะอย่างขมขื่นแล้วกล่าวออกมา
อย่างที่รู้ว่าตอนที่ต่อสู้ในหุบเขาเปลวเพลิงในเขตทะเลหนานไห่นั้น นางมีระดับการฝึกฝนแค่ของเหลวขั้นกลางเท่านั้น
และตัวหลิ่วหมิงเองกลับอาศัยการทานโอสถผลึกเย็นจำนวนมาก ถึงเข้าสู่ระดับในปัจจุบันนี้ได้ วันนี้ดูท่าทรัพยากรของศิษย์สายในคงมีมากจริงๆ
“ครั้งนี้พี่หลิ่วคงมาอ่านคัมภีร์ในนิกายสินะ ได้ยินมาว่าอันดับหนึ่งของงานประลองใหญ่สามารถอ่านคัมภีร์ได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย” เจียหลานได้ยินก็ยิ้มเล็กน้อย นางไม่ได้พูดเรื่องอะไรเกี่ยวกับการฝึกฝนของตนเอง แต่กลับถามเรื่องอื่น
“ศิษย์น้องเจียหลานก็เป็นเหมือนกันมิใช่หรือ?” หลิ่วหมิงลูบจมูกแล้วกล่าวออกมา
“ข้าสะสมแต้มคุณูปการอย่างยากลำบากมาสองปี ถึงเพียงพอที่จะอ่านคัมภีร์ที่มีส่วนเกี่ยวกับการทะลวงระดับผลึกได้เพียงเล่มเดียวเท่านั้น” เจียหลานกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ที่แท้ศิษย์น้องก็ใกล้จะทะลวงระดับผลึกแล้ว ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก” พอได้ยินคำว่าระดับผลึก หลิ่วหมิงก็รู้สึกตกใจขึ้นมาจริงๆ
“ไหนเลยจะเร็วเช่นนี้ แต่วิชาที่อาจารย์ข้าถ่ายทอดให้ ค่อนข้างเหมาะสมกับร่างจิตวิญญาณของข้ามาก ด้วยเหตุนี้เส้นทางสู่ระดับผลึกจึงดำเนินไปได้เร็ว คาดว่าภายในสิบปีคงจะสามารถทะลวงคอขวดระดับผลึกได้” เจียหลานเองก็ตอบแบบไม่คิดจะปิดบัง
หลิ่วหมิงถอนหายใจเบาๆ อีกครั้ง สำหรับเขาแล้วเรื่องการทะลวงระดับผลึก ยังนับว่าค่อนข้างห่างไกลมาก
ทั้งสองพูดคุยกันอีกสองสามประโยค จากนั้นต่างก็ไปอ่านคัมภีร์ต่อ
หลังจากหลิ่วหมิงกล่าวลาเจียหลานแล้ว เขาก็เดินตรงมาบนชั้นสามของหอเก็บคัมภีร์ และทำการเลือกดูอย่างละเอียด
ผ่านไปราวๆ สองชั่วยาม ในที่สุดหลิ่วหมิงก็ค้นพบเคล็ดวิชาที่ไม่เป็นที่นิยมอย่าง ‘เคล็ดวิชาเงาสามส่วน’
หลังจากผ่านการฝึกต่อสู้กับหลานสี่และราชาปีศาจสมุทรในแดนมายามาหลายครั้ง ประกอบสถานการณ์ต่างๆ ที่เผชิญในงานประลองใหญ่ ทำให้หลิ่วหมิงตระหนักชัดเจนมากยิ่งขึ้นว่า นอกจากอาวุธจิตวิญญาณและเคล็ดวิชาต่างๆ แล้ว ในระหว่างการประลอง ท่าร่างก็เป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้
และพอฝึกฝนวิชานี้สำเร็จ ก็ทำให้ร่างกายพร่ามัวในขณะที่รุกหน้าหรือถอยหลัง และเมื่อระดับของวิชาเพิ่มขึ้น ยังสามารถสร้างเงาร่างเสมือนได้
ตามที่บันทึกไว้ในแผ่นหยก วิชานี้ถูกแบ่งออกเป็นสี่ขั้น ขั้นแรกสามารถสร้างได้เพียงเงาร่างสลัวๆ และเมื่อฝึกแต่ละขั้นสำเร็จ ก็สามารถสร้างเงาร่างออกมาได้หนึ่งเงา หลังจากฝึกฝนถึงขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว ก็สามารถสร้างได้มากสุดสามเงา
ในขณะต่อสู้กับศัตรูในระยะประชิด นอกจากผู้ที่มีสายตาว่องไวเป็นพิเศษ หรือผู้ที่มีระดับการฝึกฝนเหนือกว่าแล้ว คนอื่นๆ ก็ไม่อาจหาตำแหน่งของร่างที่แท้จริงได้ พูดได้ว่ามีประโยชน์ต่อการต่อสู้ระยะประชิดมาก
ระหว่างที่หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอยู่นั้น พลังจิตของเขาก็กวาดออกไป และค้นพบว่าวิชานี้ต้องใช้แต้มคุณูปการสองแสนห้าหมื่นแต้ม แม้ว่าเมื่อเทียบกับเคล็ดวิชา ‘ชังหมิงซินจิง’ ที่ต้องใช้ห้าแสนห้าหมื่นแต้มคุณูปการแล้ว จะใช้แต้มคุณูปการเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น
หลังจากเขาพินิจพิเคราะห์เล็กน้อยแล้ว ก็หยิบตราหยกสีเขียวที่เปล่งแสงสลัวๆ ออกจากแหวนย่อส่วน และโบกไปยังแท่นหยกสีม่วงที่บันทึก ‘เคล็ดวิชาเงาสามส่วน’
คลื่นสีม่วงปรากฏขึ้นเล็กน้อยบนแผ่นหยก จากนั้นอักขระสีม่วงจำนวนมากก็พุ่งออกมา และจมหายไปในตราหยกสีเขียวอย่างบ้าคลั่ง
มีแสงแวววาวหมุนวนอยู่บนพื้นผิวตราหยก จากนั้นมันก็กลายเป็นสีม่วงจางๆ
หลิ่วหมิงวางมันไว้บนหน้าผาก พอใช้กวาดจิตกวาดดูจนมั่นใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาดแล้ว ถึงเดินลงจากหอด้วยมีหน้าพอใจ จากนั้นก็ออกไปจากหอเก็บคัมภีร์ และขี่เมฆกลับไปยังที่ถ้ำที่พักของตนเอง
เมื่อกลับถึงถ้ำที่พัก เขาก็เข้าไปทำการฝึกฝนในห้องลับทันที
ในช่วงระหว่างเวลานี้ นอกจากหลงเหยียนเฟยจะมาพูดเปรียบเปรยเรื่องจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่อยู่หลายครั้ง และกลับไปโดยไม่ได้ผลลัพธ์อะไรแล้ว ก็มีเยี่ยนหมิงกับเสวี่ยอวิ๋นมาเยี่ยมเยียนหนึ่งครั้ง
นอกจากหลิ่วหมิงจะทานโอสถผลึกเย็นอย่างต่อเนื่อง และเข้าไปฝึกฝนในแดนมายาแล้ว เวลาที่เหลือล้วนฝึกฝน ‘เคล็ดวิชาเงาสามส่วน’ อย่างตั้งใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา