ดวงตาหลิ่วหมิงดูเฉียบขาดขึ้นมา เขากระโดดเข้าไปในค่ายกลสีทองพร้อมกับกระบี่สีเทาในมือ พอเปลี่ยนท่ามือ แสงกระบี่สีเทาก็สว่างขึ้นมา และแหวกขวานยักษ์สีเลือดก่อนฟันเข้าใส่ปีศาจขวานโลหิตอีกครั้ง
ชั่วเวลานั้น แสงสีเลือดกับแสงสีเทาก็ปรากฏขาดๆ หายๆ ท่ามกลางค่ายกลสีทอง แต่ทว่าถูกแสงสีทองกลุ่มหนึ่งบดบังสถานการณ์ภายในไว้ รับรู้ได้แค่ความผันผวนอย่างรุนแรงของพลังเวทที่อยู่ในนั้น เศษปราณกระบี่ที่เหลือพุ่งขึ้นฟ้า และจมหายไปในทะเลทรายบริเวณนั้น ทำให้เศษทรายกระเด็นไปทั่วทิศ
ชั่วเวลาหนึ่งเค่อผ่านไป พอแสงสีทองดับลง ก็เผยให้เห็นร่างหลิ่วหมิงที่อยู่ท่ามกลางค่ายกล สีหน้าเขาดูสงบเป็นอย่างมาก แต่มือข้างหนึ่งกลับถือศีรษะของชายฉกรรจ์ที่ดวงตาสีแดงเบิกโพลงอยู่
หลังจากเขาโบกมือข้างหนึ่งเก็บขวานยักษ์สีเลือดเข้าไปแล้ว ก็กลายเป็นแสงหลบหลีกสีดำพุ่งหายไปจากขอบฟ้า
……
ครึ่งเดือนต่อมา หลิ่วหมิงนำศีรษะปีศาจขวานโลหิตกลับไปนิกายยอดบริสุทธิ์อย่างเงียบๆ และมอบมันให้กับหอความเป็นความตาย
พอชายวัยกลางคนในหอความเป็นความตายมองเห็นศีรษะของปีศาจขวานโลหิต ก็แสดงสีหน้าตกใจจนปิดไม่มิด
เพราะผู้ที่มีรายชื่อสิบอันดับแรกในบัญชีความเป็นความตาย ล้วนมีพลังที่พอจะเทียบเท่ากับระดับผลึกได้ ต่อให้เป็นศิษย์สายในก็ใช่ว่าจะสามารถสังหารได้สำเร็จ
“หลิ่วหมิงจากสาขาห่านฟ้า อ๋อ……. ที่แท้ก็เป็นผู้ที่ได้อันดับหนึ่งในงานประลองใหญ่ที่ผ่านมา หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ เจ้าก็เป็นคนสังหารปีศาจหยินหยางด้วยใช่ไหม?” ชายวัยกลางคนมองดูป้ายในมือแล้วดูเหมือนจะนึกขึ้นมาได้ จึงถามออกไป
หลิ่วหมิงเอาแต่ยิ้มจางๆ และไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
ชายวัยกลางคนเห็นหลิ่วหมิงไม่อยากพูดอะไรออกมา เขาก็ไม่พูดอะไรมากอีก จากนั้นก็นำพู่กันหยกออกมาเติมแต้มคุณูปการให้หลิ่วหมิงแปดหมื่นแต้ม
หลังจากหลิ่วหมิงลังเลเล็กน้อยแล้ว ก็ตั้งใจจ่ายแต้มคุณูปการให้กับหอความเป็นความตาย เพื่อไม่ให้แพร่งพรายชื่อของตนเอง จากนั้นถึงได้จากไปอย่างเงียบๆ
ที่เขาสังหารปีศาจยินหยางในหลายปีก่อน ทำให้เกิดความฮือฮาในนิกายอยู่พักหนึ่ง เขายังจดจำได้ไม่ลืมเลือน หากมีคนรู้ว่าเขาสังหารผู้ฝึกฝนชั่วร้ายที่มีรายชื่ออยู่ในสิบอันดับแรกของบัญชีความเป็นความตายล่ะก็ ไม่รู้ว่าจะทำให้เป็นจุดสนใจของคนจำนวนมากเท่าใด ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่เขาไม่อยากให้เกิดขึ้น
หลังจากกลับไปพักผ่อนที่ถ้ำหลายวันแล้ว หลิ่วหมิงก็มายังตลาดวารีมืดอย่างลับๆ อีกครั้ง
ห้าเดือนต่อมา ริมทะเลสาบขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากเทือกเขาหมื่นวิญญาณไปทางใต้หลายหมื่นลี้ หุ่นสีทองสี่ตัวที่สูงหลายจั้งกำลังล้อมชายผมแดงใบหน้าดำผู้หนึ่ง และปล่อยกำปั้นสีทองออกไปต่อสู้กับชายผมแดงอยู่ไม่หยุด
ห่างออกไปไม่ไกล หลิ่วหมิงรวมพลังกับแมงป่องกระดูก และหัวบินต่อสู้กับปีศาจตัวต่อยักษ์ระดับของเหลวขั้นปลายสามตัว
ชายหนุ่มผมแดงต้านทานการโจมตีของหุ่นทั้งสี่อย่างสุดความสามารถ และควบคุมควบคุมง่ามบินสีดำให้ทำการทะลวงพลังกำปั้นที่โจมตีอยู่รอบด้าน ขณะเดียวกัน ปีศาจตัวต่อที่เผชิญหน้ากับหลิ่วหมิงก็มีบาดแผลเต็มตัว ดูท่าใกล้จะไม่ไหวแล้ว
น่าเสียดายที่หุ่นเกราะทองคำทั้งสี่แข็งแกร่งจนน่ากลัว ทั้งยังทำการต่อสู้อย่างบ้าคลั่งภายใต้คำสั่งของหลิ่วหมิง
พอง่ามบินของชายผมแดงโจมตีด้วยพลังทั้งหมด ก็ทิ้งไว้เพียงร่องรอยจำนวนหนึ่งบนตัวหุ่นเท่านั้น ไม่สามารถทำให้หุ่นทั้งสี่บาดเจ็บสาหัสได้ เขาจึงได้แต่มองดูหลิ่วหมิงบีบปีศาจตัวต่อของตนจนไร้ทางสู้ และถูกสังหารไปทีละตัว… ทีละตัว…
ตัวต่อสีเหลืองตัวสุดท้ายถูกม่านทรายทองคำที่กลายเป็นตาข่ายขนาดใหญ่ปกคลุมไว้ หลังจากถูกแสงกระบี่ฟันเป็นสองส่วนแล้ว ชายผมแดงก็มีสีหน้าซีดขาวขึ้นมา
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป ขณะที่หลิ่วหมิงไปจากทะเลสาบยักษ์นั้น ในแหวนย่อส่วนของเขาก็มีศีรษะของหมัวเฟิงซ่างเหรินที่มีรายชื่ออยู่อันดับที่แปดในบัญชีความเป็นความตายอยู่ด้วย
……
หนึ่งปีต่อมา สถานที่อันตรายที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในแผ่นดินจงเทียน บนท้องฟ้าเหนือทะเลปี้เยียนหมิงไห่ มีแสงสีขาวดำสองกลุ่มกำลังพุ่งตามกันมาด้วยความเร็วอันน่าตกใจ
ขณะนั้นเอง แสงสีดำที่อยู่ด้านหลังพลันพุ่งออกจากเงากระบี่สีเทาอันแน่นหนา หลังจากพร่ามัวหนึ่งที ก็กลายเป็นพายุบ้าระห่ำสีเทา และเข้าไปปกคลุมกลุ่มแสงสีขาวตรงหน้าไว้
กลุ่มแสงสีขาวถูกห่อหุ้มอยู่ท่ามกลางพายุบ้าระห่ำ ทันใดนั้น มันก็หยุดชะงักลง จากนั้นก็มีเสียงดังเปรี๊ยะๆ! มาจากด้านใน มีสายฟ้าสีเงินปรากฏบนพื้นผิว
ผ่านไปเพียงแค่อึดใจเดียว เงากระบี่ในพายุบ้าระห่ำก็ค่อยๆ แตกกระจายออกมา
กลุ่มแสงสีขาวเปล่งประกายขึ้นอีกครั้ง และพุ่งไปด้านหน้าต่อ
หัวล้านสีดำที่อยู่ทางด้านหลังเพียงแค่หยุดชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็ม้วนตัวหมอกดำพวยพุ่งไปด้านหน้าต่อ
ทั้งสองพุ่งๆ หยุดๆ อย่างนี้ไปเรื่อยๆ พริบตาเดียวก็ผ่านไปสิบกว่าวันแล้ว
“ผู้น้อยนิกายยอดบริสุทธิ์ เจ้าตามสังหารข้ามาร้อยวันแล้ว คิดว่าหลวงจีนกระดูกแห้งอย่างข้า จะรังแกได้ง่ายๆ เช่นนั้นหรือ!” มีน้ำเสียงดุดันดังมาจากแสงหลบหลีกสีขาวที่อยู่ด้านหน้า และดูเหมือนจะหายใจหอบอยู่รำไร
ท่ามกลางแสงหลบหลีกสีดำที่อยู่ด้านหลัง หลิ่วหมิงกลับทำราวกับไม่ได้ยิน เขายังคงกระตุ้นแสงหลบหลีกตามไปอย่างไม่ลดละ และสะบัดปราณกระบี่สีเทาออกไปด้านหน้าเป็นระยะๆ
นอกจากปราณกระบี่สีเทาเหล่านี้จะทำให้แสงสีขาวตรงชะงักเล็กน้อยแล้ว ก็ดูเหมือนจะไม่สามารถสร้างความเสียหายใดๆ ให้มันได้เลย
ผ่านไปอีกราวๆ ครึ่งวัน แสงหลบหลีกสีขาวตรงหน้าก็หยุดลงในฉับพลัน พอแสงสีขาวดับลง ก็เผยให้เห็นชายหนุ่มใบหน้าแห้งเหี่ยวผู้หนึ่ง
แต่เบ้าตาทั้งสองกลับดูแวววาว ไม่มีผมหรือหนวดเคราเลย สวมจีวรสีแดงตัวใหญ่ ภายใต้การโจมตีของพายุเย็นสะท้าน เผยให้เห็นร่างของเขาที่เหลือแต่กระดูกอยู่รำไร
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา