ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 603

สรุปบท ตอนที่ 603 ต่อสู้กับอสูรสิงโตพยัคฆ์ (3): ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

ตอน ตอนที่ 603 ต่อสู้กับอสูรสิงโตพยัคฆ์ (3) จาก ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

ตอนที่ 603 ต่อสู้กับอสูรสิงโตพยัคฆ์ (3) คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 603 ต่อสู้กับอสูรสิงโตพยัคฆ์ (3)
ตอนที่ 603 ต่อสู้กับอสูรสิงโตพยัคฆ์ (3)
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ฟู่!”

ปีศาจอสูรสิงโตพยัคฆ์ไม่ทันได้ป้องกัน จึงเกิดบาดแผลขนาดชุ่นกว่าๆ บนตัว ทั้งยังได้รับผลกระทบจากไอดำบริเวณนั้น ทำให้การฟื้นฟูของมันลดช้าลงมาก

อสูรยักษ์ส่ายหัวด้วยความโมโห ทันใดนั้นลูกเปลวไฟยักษ์จำนวนมากก็พุ่งใส่ปราณกระบี่

“ตู้ม!” หลังจากมีเสียงดังขึ้น ภายใต้เปลวเพลิงอันพวยพุ่ง ทำให้ไอดำบริเวณนั้นถูกม้วนหายไปจนหมดสิ้น แต่ที่นั่นกลับว่างเปล่าเป็นอย่างมาก ซึ่งหลิ่วหมิงได้ย้ายไปอยู่ตำแหน่งอื่นแล้ว

ขณะเดียวกัน เงาหัวกะโหลกที่ระเบิดตัวในตอนแรก ก็ก่อตัวขึ้นในอีกด้านหนึ่งของไอดำ

เป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้ง แม้ว่าปีศาจอสูรสิงโตพยัคฆ์จะใช้คมวายุ ลูกเปลวไฟ แท่งน้ำแข็ง ลูกสายฟ้า แต่ยังคงไม่สามารถโจมตีเงาร่างของหัวกะโหลกได้เลยแม้แต่น้อย และบนตัวของมันก็มีรูสิบกว่ารู

แม้ว่าการโจมตีเหล่านี้จะไม่ได้สร้างความเสียหายอันใดให้อสูรยักษ์ถึงกับเสียชีวิต แต่กลับทำให้กลิ่นไอของมันลดลงไปไม่น้อย

ขณะที่หลิ่วหมิงเคลื่อนไหวราวกับปีศาจนั้น ก็หลบแท่งน้ำแข็งจำนวนมากไปได้ จากนั้นก็คิดที่จะควบแน่นปราณกระบี่รูปเกลียวบนปลายนิ้ว

แต่ขณะนั้นเองกลับมีเสียงคำรามดังจนหูแทบหนวก ทำให้เขาต้องขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย!

กลิ่นไอของอสูรสิงโตพยัคฆ์ที่อยู่ท่ามกลางไอดำเพิ่มขึ้นในฉับพลัน ลวดลายจิตวิญญาณสี่สีบนตัวเลื้อยขยุกขยิก พริบตาเดียว ร่างก็ขยายใหญ่เกือบครึ่งหนึ่ง ขณะเดียวกัน มีลูกแสงสามกลุ่มกระพริบผ่านตรงด้านหลังหัวและคอ จากนั้นก็กลายเป็นหัวที่ดูคล้ายพยัคฆ์สามหัว ดวงตาแต่ละลูกดูโหดเหี้ยมเป็นอย่างมาก

แต่ว่าหลังจากอสูรตัวนี้แปลงร่างแล้ว ดูเหมือนว่ามันจะมีพลังในการมองทะลุไอดำได้ มันเขม้นตามองมายังบริเวณที่หลิ่วหมิงซ่อนตัว และร่างของมันก็แผ่กลิ่นไอโหดเหี้ยมออกมา

หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้าน แต่ก็ไม่ได้เสี่ยงทำการโจมตี ด้านหนึ่งถือกระบี่จ้องมองอสูรตัวนี้ไม่ขยับเขยื้อน ด้านหนึ่งก็ฟื้นฟูพลังเวทอย่างเงียบๆ

ชั้นสามสิบหกที่เคยมีเสียงดังอยู่ไม่หยุด กลับเงียบสงัดเป็นอย่างมาก

แสงแวววาวหมุนวนอยู่ในลูกตาทั้งแปด ทันใดนั้นมันก็อ้าปากพ่นลำแสงสีต่างๆ ออกมาพร้อมกันสี่ลำ บริเวณที่ลำแสงเคลื่อนตัวผ่าน เกิดเสียงดังหวึ่งๆ อยู่ไม่หยุด

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ไม่กล้าให้มันเลยเถิดไปกว่านี้แล้ว พอร่างของเขาพร่ามัวก็กลายเป็นเงาร่างสองเงาจนสามารถหลบลำแสงทั้งสี่ไปได้ ขณะเดียวกัน พอสะบัดข้อมือ เงากระบี่แน่นขนัดก็พุ่งยิงออกไป

อสูรสิงโตพยัคฆ์เพียงแค่สะบัดตัว ม่านแสงสีเขียวก็ปรากฏขึ้นมา พอเงากระบี่โจมตีลงบนนั้น ก็ต้องกระเด็นกลับไปด้วยเสียงอันดัง

หลิ่วหมิงทำเสียงฮึดฮัด ขณะที่กำลังจะโยนยันต์ในมือออกไปนั้น พลันมีเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น

ลำแสงทั้งสี่ที่เขาหลบไปได้กลับรวมตัวกันด้านหลังของเขา และแทงทะลุออกจากไอดำจนเกิดเป็นทางเดินสายหนึ่ง

ลำตัวของสิงโตพยัคฆ์เปล่งประกายแสงสีเขียวด้วยความดีใจ จากนั้นก็กลายเป็นเงาร่างสีเขียวพุ่งยิงออกไป

หลิ่วหมิงกลับมีสีหน้าเคร่งขรึมในทันที เขากระตุ้นเคล็ดวิชาโดยไม่ต้องคิด จุดแสงสีทองปรากฏบนทางเดิน หลังจากหมุนติ้วๆ แล้ว ก็กลายเป็นกำแพงทรายทองคำปิดกั้นทางเดินนี้ไว้

อสูรสิงโตพยัคฆ์ไม่ทันได้ป้องกันจึงชนเข้าอย่างจัง แม้ว่ากำแพงจะถูกชนจนแตกกระจาย แต่ตัวมันเองก็ต้องหยุดชะงักลง

ขณะนั้นเอง มีเสียงร่ำไห้ท่ามกลางไอดำบนทางเดินทั้งสองด้าน เงาหัวกะโหลกพุ่งยิงออกไปพร้อมกัน พริบตาเดียวก็กัดขาทั้งสี่และจุดสำคัญของอสูรยักษ์ไว้ และดูดเอาพลังในร่างของมันอย่างบ้าคลั่ง

พอปีศาจอสูรสิงโตพยัคฆ์ส่งเสียงคำรามออกมา เปลวเพลิงร้อนแรงกับสายฟ้าสีทองก็พวยพุ่งอยู่บนตัว

เงาหัวกะโหลกทั้งเก้าถูกเผาจนเกิดเสียงดัง “ฟู่ๆ!” ขณะเดียวกันมันก็แตกกระจุยท่ามกลางสายฟ้าที่พัวพัน

แต่ในระหว่างเวลานี้ ทางเดินที่ถูกเปิดในก่อนหน้านั้นก็มีไอดำพวยพุ่ง จากนั้นก็ถูกปิดสนิทดังเดิม

โล่เก้ากะโหลกที่กลายเป็นต้นแบบอาวุธเวทแล้ว ความมหัศจรรย์ของมันไม่ใช่สิ่งที่อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดโดยทั่วไปจะสามารถเปรียบเทียบได้

ขณะนั้นเอง เกิดเสียงแหลมดังขึ้นมา แสงกระบี่สีเทาที่ยาวสิบกว่าจั้งเปล่งประกาย จากนั้นก็พุ่งไปรัดพันอสูรยักษ์ไว้ ในที่สุดหลิ่วหมิงก็ใช้วิชาที่สิ้นเปลืองพลังเวทมากที่สุดอย่างวิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่ง!

พออสูรสิงโตพยัคฆ์เห็นทางออกถูกปิดไว้หมดแล้ว ดวงตาทั้งแปดก็แดงก่ำขึ้นมา หัวทั้งสี่คำรามออกมาพร้อมกัน ลวดลายจิตวิญญาณบนร่างพร่ามัวกลายเป็นค่ายกลแสงอันงดงาม ขณะเดียวกัน หัวเล็กๆ ทั้งสามที่อยู่บริเวณคอก็ขยายใหญ่จนมีขนาดพอๆ กับหัวเดิมของมันแล้ว กลิ่นไอที่แข็งแกร่งกว่าเดิมแผ่ออกจากลำตัวขนาดใหญ่ของมัน

……

ภายในถ้ำเร้นลับแห่งหนึ่งในเทือกเขาหมื่นวิญญาณที่อยู่ห่างจากเจดีย์ซวีหลิงไปหลายร้อยลี้ มีผู้อาวุโสผมสีดอกเลาสวมชุดคลุมสีเทากำลังนั่งขัดสมาธิอยู่

ทันใดนั้น ผู้อาวุโสก็ค่อยๆ ขมวดคิ้ว และลืมตาทั้งคู่ขึ้นมา เขาพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งหยิบแผ่นค่ายกลสีทองขนาดชุ่นกว่าๆ ออกมา มีภาพเหตุการณ์ภายในเจดีย์ซวีหลิงเกิดขึ้นในนั้นอยู่รำไร หลังจากพร่ามัวอีกครั้ง ภาพของปีศาจอสูรสิงโตพยัคฆ์ก็ปรากฏออกมา

ผู้อาวุโสกวาดสายตาดูอสูรยักษ์ที่ถูกแสงกระบี่สีเทาก่อกวนแค่ทีเดียว ก็เก็บแผ่นค่ายกลเข้าไปอย่างเงียบๆ จากนั้นก็นั่งเข้าฌานต่อ

……

บนยอดเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากเจดีย์ซวีหลิงไปไม่ไกล ชายหนุ่มชุดคลุมสีทองจ้องมองเจดีย์ซวีหลิงชั้นที่สามสิบหกด้วยสีหน้าครุ่นคิด

เขาก็คือจินเทียนชื่อนั่นเอง

ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีพลังเวทคอยกระตุ้น ยันต์นักรบเกราะทองคำก็แตกกระจายออกมา และกลายเป็นยันต์เก่าๆ ก่อนร่วงลงมา

หลิ่วหมิงหายใจเข้าลึกๆ สองสามที จากนั้นก็หยิบโอสถจินหยวนออกจากแหวนย่อส่วนด้วยท่าทีอ่อนแรง ขณะเดียวกันก็นำยันต์สองสามผืนมาแปะไว้บนบาดแผล สุดท้ายก็ค่อยๆ หลับตาทั้งคู่เพื่อเข้าฌาน

…….

ขณะที่หลิ่วหมิงโจมตีปีศาจอสูรสิงโตพยัคฆ์สำเร็จนั้น อักขระสีเขียวนอกเจดีย์ชั้นที่สามสิบหกก็ดับมืดลง

ขณะเดียวกัน ไอหมอกสีเทาบนเจดีย์ซวีหลิงก็พวยพุ่งอย่างรุนแรง มีเสียงระฆังดังขึ้นทั่วเจดีย์ และค่อยๆ แผ่ขยายไปทั่วเทือกเขาหมื่นวิญญาณ

“คนผู้นี้…… คิดไม่ถึงว่าจะฝ่าด่านเจดีย์ชั้นที่สามสิบหกได้จริงๆ”

ด้านนอกเจดีย์ซวีหลิง ศิษย์ที่อยู่บริเวณนั้นต่างก็จ้องมองด้วยความตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง

อักขระสีเขียวบนเจดีย์ชั้นที่สามสิบหกดับลงโดยสมบูรณ์ แม้ว่าอักขระสีม่วงบนเจดีย์ชั้นที่สามสิบเจ็ดจะยังไม่สว่างขึ้นมา และคนที่อยู่ในนั้นก็ไม่ได้ถูกส่งตัวออกมา แต่ผลลัพธ์ก็ปรากฏอย่างชัดเจนแล้ว

ซาทงเทียนมีสีหน้าดูไม่ได้เป็นอย่างมาก เดิมทีเขาคิดว่าเมื่อเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว พลังแท้จริงจะต้องเหนือกว่าคู่ต่อสู้ไม่น้อย แต่วันนี้ดูท่ายังห่างชั้นอีกมาก

ดวงตางดงามของเจียหลานก็เป็นประกายแวววาว มุมปากนางยกขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มจางๆ แต่ทั้งหมดนี้ก็หายไปอย่างรวดเร็ว

“คิดไม่ถึงว่าไม่เจอกันหลายปี พลังแท้จริงของศิษย์น้องหลิ่วจะมาถึงระดับนี้ได้……” หลังจากสีหน้าหลงเหยียนเฟยเปลี่ยนไปมาอยู่หลายครั้ง นางก็ยิ้มมุมปากเบาๆ แต่ดวงตาทั้งคู่กลับเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

หลังจากศิษย์สายในคนอื่นๆ หายจากอาการประหลาดใจแล้ว ก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความตื่นเต้น บ้างก็นำอาวุธที่ใช้ส่งสารออกมา และแจ้งเรื่องที่มีศิษย์สายนอกฝ่าด่านชั้นที่สามสิบหกของเจดีย์ซวีหลิงได้ให้กับสหายต่างๆ

“เอาล่ะ! เรื่องราวที่นี่ก็ได้จบลงแล้ว พวกเราไปกันเถอะ!” หลงเหยียนเฟยกวาดสายตาดูศิษย์คนอื่นๆ ทีหนึ่ง และขมวดคิ้วกล่าวออกมา จากนั้นก็ปล่อยแสงกระบี่ออกมาค้ำร่างอรชรของนางไว้ และพุ่งออกไปโดยไม่หันหน้ากลับมาอีก

ศิษย์ยอดเขากระบี่สวรรค์ที่เหลือเห็นเช่นนี้ ก็รีบปล่อยแสงกระบี่ออกมาและตามนางไป

ซาทงเทียนหันมามองเจียหลานที่ยังยืนอยู่ที่เดิมทีหนึ่ง หลังจากดวงตาของเขาเผยแววซับซ้อนออกมาแล้ว ก็ค่อยๆ ปล่อยกระบี่บินออกมา จากนั้นก็กลายเป็นแสงหลบหลีกสีเขียวพุ่งขึ้นฟ้า

………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา