ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 605

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 605 ยอดเขาลั่วโยว
ตอนที่ 605 ยอดเขาลั่วโยว
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลิ่วหมิงโค้งตัวยื่นมือไปรับแผ่นหยกมา หลังจากกล่าวขอบคุณแล้ว ก็นำไปแปะไว้บนหน้าผาก และปล่อยจิตส่วนหนึ่งเข้าไปในนั้น

ชั่วเวลาครึ่งเค่อต่อมา หลิ่วหมิงลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากคิดไตร่ตรองไปรอบหนึ่งแล้ว ก็กล่าวอย่างหนักแน่น

“ข้าได้พิจารณาดูแล้ว ขอเลือกยอดเขาลั่วโยวก็แล้วกัน”

ยอดเขาลั่วโยวเป็นยอดเขาในนิกายที่ฝึกฝนวิชาสายปีศาจเป็นหลัก ทรัพยากรในนั้นเหมาะสมสำหรับการฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬพอดี ดังนั้นพออ่านเจอคำแนะนำยอดเขานี้ เขาก็เลือกอย่างไม่ลังเล

หัวหน้าหอโอวหยางพยักหน้าเล็กน้อย และชี้นิ้วออกไป

ท่ามกลางป้ายที่ดูละลานตาตรงหน้า พอแสงสีดำเปล่งประกาย ป้ายสีดำแวววาวที่มีหน้าปีศาจสลักอยู่ก็พุ่งออกมา และตกลงบนมือหลิ่วหมิง

“ในนี้มีชุดศิษย์สายในอยู่หนึ่งชุด เจ้าเก็บไว้ให้ดี รอคิดดีแล้วก็มาเลือกอาวุธจิตวิญญาณระดับสูงหนึ่งชิ้นได้ตลอดเวลา” พอชายวัยกลางคนยกแขนขึ้น แสงสีแดงก็พุ่งเข้ามา

“ขอบคุณผู้อาวุโส”

หลิ่วหมิงกล่าวขอบคุณ และยกมือรับแสงสีแดงไว้ มันคือยันต์เก็บของสีแดงเข้มนั่นเอง

ชายวัยกลางคนสะบัดแขนเสื้อเก็บป้ายเกือบร้อยอันที่อยู่ตรงหน้าทันที หลังจากส่งเสียงเรียกออกไปด้านนอก ศิษย์ดำเนินคนเมื่อครู่ก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว

“พาศิษย์หลานหลิ่วไปที่ยอดเขาลั่วโยวเถิด!” ชายวัยกลางคนสั่งออกไปหนึ่งประโยค

“รับทราบ!”

ศิษย์ดำเนินการผู้นี้พยักหน้าตอบรับ หลังจากหัวหน้าหอโอวหยางจากไปแล้ว เขาก็หันมาคารวะหลิ่วหมิง และกล่าวอย่างนอบน้อม

“หลินเยวี่ยคารวะศิษย์พี่หลิ่ว”

แม้ว่าจะเป็นศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์เหมือนกัน แต่ตำแหน่งของศิษย์ดำเนินการไม่อาจสู้ศิษย์สายนอกทั่วไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นยิ่งไม่อาจเทียบกับศิษย์สายในได้เลย

“ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนศิษย์น้องหลินแล้ว” หลิ่วหมิงย่อมประสานมือคารวะ และตอบกลับอย่างเกรงใจ

ดังนั้น ภายใต้การนำของศิษย์ดำเนินการ ทั้งสองก็ออกจากหอคุมกฎไป ไม่นานแสงหลบหลีกสองลำ ก็พุ่งไปยังส่วนลึกของเทือกเขาหมื่นวิญญาณ

แม้ว่าหลิ่วหมิงจะเข้านิกายยอดบริสุทธิ์มาสิบกว่าปีแล้ว แต่ปกติมักจะเก็บตัวฝึกฝน ไม่ค่อยจะออกไปไหน นอกจากเคยไปยอดเขาเมฆาหยกในตอนแรกที่เข้านิกายแล้ว ก็ไม่มีการคลุกคลีกับนิกายสายในเลย ด้วยเหตุนี้จึงไม่ค่อยรู้ตำแหน่งของยอดเขาต่างๆ ในนิกาย ดังนั้นถึงต้องให้หลินเยวี่ยนำมาตลอดทาง

หลินเยวี่ยผู้นี้ก็คุยเก่งมาก ประกอบกับการที่ได้คบค้าสมาคมกับศิษย์สายในของยอดเขาต่างๆ อยู่ตลอดวัน ทำให้ในระหว่างทางหลิ่วหมิงได้สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับในนิกายมาไม่น้อย

หนึ่งชั่วยามผ่านไป ทั้งสองก็มาถึงหน้ายอดเขาสีดำแห่งหนึ่ง

“ศิษย์พี่หลิ่ว ที่นี่ก็คือยอดเขาลั่วโยว” หลินเยวี่ยชี้ไปยังยอดเขาตรงหน้าแล้วหันมากล่าวกับหลิ่วหมิง

หลิ่วหมิงพยักหน้าด้วยตาที่เป็นประกาย ขณะนี้ บนตัวเขาได้เปลี่ยนมาสวมชุดสีดำของศิษย์ยอดเขาลั่วโยวแล้ว

และยอดเขาตรงหน้าก็ดูอันตรายอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ด้านหน้ายอดเขาตรงดิ่ง และสูงชะโงกเงื้อม ด้านหลังดีหน่อยที่ยังมีเนินเขาเอียงชันเล็กน้อย

ยอดเขาหลักของยอดเขาลั่วโยวก็สูงเสียดเมฆเหมือนกับยอดเขาอื่นๆ ในนิกายยอดบริสุทธิ์ เทือกเขาหลายลูกที่อยู่บริเวณนี้ ยังมีความสูงน้อยกว่า ด้านล่างเป็นป่าบุพกาลอันหนาแน่น มีสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่หลายสิบหลังสร้างอยู่บนยอดเขาเท่านั้น

“ไปกันเถอะ!” หลิ่วหมิงสังเกตอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อทะยานหน้าไปต่อ

ไม่นานทั้งสองก็มาถึงพื้นราบเรียบแห่งหนึ่งบนยอดเขา

“ที่นี่คือยอดเขาลั่วโยว ท่านทั้งสองมาที่นี่มีธุระอันใดหรือ?”

ขณะที่หลิ่วหมิงทั้งสองกำลังยืนตั้งหลักได้นั้น ชายชุดดำผู้หนึ่งก็เดินออกจากวิหารใหญ่บริเวณนั้น และขวางทั้งสองไว้ หลังจากกวาดสายตาดูศิษย์ดำเนินการแล้ว ก็หยุดสายตาอยู่ที่หลิ่วหมิง

“ข้าน้อยหลินเยวี่ยจากหอคุมกฎ ที่มาในวันนี้ก็เพราะว่าศิษย์พี่หลิ่วผ่านการทดสอบของเจดีย์ชั้นที่สามสิบหกแล้ว และได้รับอนุญาตให้เป็นศิษย์สายใน ตอนนี้ได้เลือกยอดเขาลั่วโยวแล้ว จึงตั้งใจมาคารวะผู้ควบคุมยอดเขา จะได้บันทึกเข้าไปในเล่ม” หลิ่วหมิงยังไม่ทันเอ่ยปาก หลินเยวี่ยก็กล่าวออกมาก่อน

“ผ่านการทดสอบของเจดีย์ซวีหลิงชั้นที่สามสิบหกแล้ว?!” ชายชุดดำได้ยินก็รู้สึกตกใจมาก สายตาที่มองดูหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปทันที

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เชิญศิษย์น้องหลิ่วตามข้ามาเถอะ แต่ว่าหลายวันนี้ผู้ควบคุมยอดเขามีธุระข้างนอก ตอนนี้ในเขามีผู้อาวุโสเหยียนคอยดูแล” ชายชุดดำสังเกตดูหลิ่วหมิงอีกสองที จากนั้นถึงเก็บสีหน้าประหลาดใจก่อนกล่าวออกมา

หลินเยวี่ยเห็นว่าภารกิจของตนเสร็จแล้ว จึงบอกลาหลิ่วหมิง และทะยานขึ้นฟ้าจากไป

หลิ่วหมิงก็เดินตามชายชุดดำเข้าไปด้านในวิหาร

ยอดเขาลั่วโยวมีชื่อเสียงในการฝึกฝนวิชาสายปีศาจ บริเวณวิหารใหญ่บนยอดเขา ก็สามารถรับรู้ได้ถึงปราณหยินที่แผ่ออกมากลางอากาศ ความรู้สึกนี้ดูคล้ายกับแดนปราณหยินในนิกายปีศาจเล็กน้อย

หากคนธรรมดาอยู่ที่นี่สักช่วงเวลาหนึ่ง คาดว่าอาจถูกปราณหยินเข้าร่างจนรู้สึกไม่สบายได้

แต่สำหรับหลิ่วหมิงแล้ว สภาพแวดล้อมเช่นนี้เหมาะสำหรับฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬพอดี

ไม่นาน ทั้งสองก็มาถึงห้องโถงหินแห่งหนึ่ง

“ศิษย์น้องหลิ่วรออยู่ที่นี่สักครู่ ข้าจะไปเชิญผู้อาวุโสเหยียน” ชายชุดดำพูดออกมาหนึ่งประโยค จากนั้นก็ก้าวยาวๆ ไปในวิหาร

หลิ่วหมิงไม่มีอะไรทำ จึงสังเกตดูรอบด้านอย่างละเอียดหนึ่งรอบ

ดูเหมือนความกว้างภายในวิหารจะกว้างกว่าที่เห็นจากภายนอกเล็กน้อย ผนังรอบด้านล้วนก่อตัวขึ้นมาจากหิน โดยมองไม่เห็นร่องรอยเลยแม้แต่น้อย ราวกับมันเกิดจากการแกะสลักหินขนาดใหญ่

เห็นได้ชัดว่าภายในวิหารว่างเปล่ามาก มีกระถางธูปสี่ใบตั้งอยู่ตรงมุมทั้งสี่ ด้านในไม่ใช่สิ่งของประเภทธูปหอม แต่กลับมีหินแร่สีดำขนาดใหญ่วางอยู่หนึ่งก้อน และมีปราณหยินแผ่ออกมาอยู่ไม่หยุด

“หรือว่านี่จะเป็น…… ศิลาปราณหยิน?”

หลังจากหลิ่วหมิงนึกคิดในใจแล้ว ก็รู้สึกตกตะลึงขึ้นมาจริงๆ

ศิลาปราณหยินเป็นวัสดุที่พบเจอได้น้อยมาก ด้านในมีปราณหยินต้นกำเนิดอันบริสุทธิ์แฝงอยู่ มีประโยชน์เป็นอย่างยิ่งสำหรับวิชาสายปีศาจ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา