แสงสีดำกะพริบออกมาจากโซ่ตรวนวิญญาณ จากนั้นมันพันตัวแมงป่องกระดูกขาวอย่างแน่นหนา ราวๆ เจ็ดถึงแปดรอบ
หลิ่วหมิงพลิกมือข้างหนึ่งขึ้น ยันต์สีเหลืองอ่อนสี่ผืนปรากฏออกมา เขาส่งพลังเวทเข้าไปในนั้นแล้วกระตุกข้อมืออีกครั้ง
เสียงดัง “ฟิ้ว!”
ยันต์ทั้งสี่ผืนมีแค่ผืนเดียวที่กลายเป็นอักขระพุ่งลงด้านล่าง พอมันแวบผ่านไปแล้วก็ปรากฏแจ่มชัดอยู่บนหัวของแมงป่องกระดูกขาวราวกับว่ามันถูกสลักอยู่ที่นั่น
ร่างของแมงป่องกระดูกขาวค่อยๆ สั่นไหว แล้วก็สงบแน่นิ่งไม่เคลื่อนไหวอีก
“เจ้าคนขายปลิ้นปล้อน!” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้กลับตำหนิในใจไปหนึ่งประโยค
ตอนแรกศิษย์ผู้ที่ขายยันต์นี้ยืนกรานว่ายันต์ทุกผืนนั้นใช้การได้หมด แต่สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาในตอนนี้คืออะไร
โชคดีที่เขาซื้อมาหลายผืนมิเช่นนั้นคงแย่แน่นอน
แต่เมื่อทำทุกอย่างเสร็จสิ้นเขาก็เหมือนจะวางใจได้ในที่สุด เขาทำท่ามือด้วยมือเดียวบังคับเมฆให้ลอยลงห่างจากแมงป่องกระดูขาวจั้งกว่าๆ และเดินเข้าไปหามัน
ทันใดนั้น เข็มทิศหยินบนมือเขาก็ส่งเสียงดัง “หวึ่งๆ”
หลิ่วหมิงชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ครู่เดียวมือข้างที่สอดอยู่ใต้แขนเสื้อก็ยื่นออกมา มือเขาจับหน้าไม้สีเขียวขนาดเล็กยาวครึ่งฉื่อไว้มั่น บนนั้นยังมีลูกดอกสีแดงที่ติดตั้งไว้ก่อนแล้วสามดอก จากนั้นพุ่งยิงไปยังแมงป่องกระดูกขาวอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ
เสียงดัง “ตู้ม!” “ตู้ม!”
พอลูกดอกทั้งสามปะทะโดนตัวแมงป่องกระดูกขาว ดอกหนึ่งดีดตัวออก อีกสองดอกกลับระเบิดออกมากลายเป็นเปลวไฟอันคุโชน
เปลวไฟเหล่านี้เป็นสีขาว ไม่เหมือนกับวิชากระสุนไฟที่หลิ่วหมิงใช้
เสียงร้องแปลกประหลาดดังขึ้น!
แมงป่องกระดูกขาวที่เดิมทีดูนิ่งสงบไม่ขยับเขยื้อน ตอนนี้กำลังดิ้นรนเอาชีวิตรอดจากเปลวไฟ ในขณะเดียวกันหางตะขอของมันเพียงแค่สั่นเล็กน้อยแล้วก็กลายเป็นเส้นสีดำพุ่งเข้าใส่หลิ่วหมิง
แต่ตอนนี้หลิ่วหมิง ได้ใช้อาวุธอาญาสิทธิ์อย่างโล่สามดาวกันไว้ก่อนแล้ว เส้นสีดำที่กะพริบลงบนโล่แสงแค่ทำให้หลิ่วหมิงถอยหลังไปสองก้าว แล้วมันก็เก็บคืนกลับไป โดยที่หลิ่วหมิงไม่เป็นอะไรเลย
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้ตกใจอย่างใด แต่กลับดีใจเสียมากกว่า
เขาใช้พลังเวทไม่ค่อยมากในการประคองโล่แสงที่ยังอยู่ด้านหน้า และเก็บเข็มทิศหยินเข้าไป จากนั้นหยิบลูกดอกสีแดงออกจากตัวสามดอกวางไว้บนหน้าไม้อย่างรวดเร็ว และยิงพุ่งออกไปอีกครั้ง
ครั้งนี้กลับมีแค่ดอกเดียวที่ระเบิดอกมา
หลิ่วหมิงตำหนิขึ้นในใจอีกครั้ง แต่มือก็ยังหยิบลูกดอกออกมายิงเข้าใส่แมงป่องกระดูกขาวอย่างต่อเนื่อง
จนเขาใช้ลูกดอกยิงสุริยันบนมือหมดไปทั้งสิบสามดอก อักขระบนหัวของแมงป่องกระดูกขาวก็กะพริบอย่างบ้าคลั่ง ในที่สุดมันก็ไม่สามารถขยับตัวได้อีก แม้กระทั่งเปลวไฟสีเขียวตรงเบ้าตาทั้งสองของมันก็กลายเป็นสีดำมืด
แต่โซ่ตรวนวิญญาณที่มัดอยู่แต่เดิมนั้น เกิดรอยแตกร้าวขึ้นมาเห็นได้ชัดว่าเสียหายไปไม่น้อย
สีหน้าของหลิ่วหมิงค่อยๆ เปลี่ยนไป คิดไม่ถึงว่าถึงแม้แมงป่องกระดูกขาวตกอยู่ในสภาพแบบนี้ ก็ยังหลงเหลือพลังอันน่ากลัวได้ถึงเพียงนี้
แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เมื่อแมงป่องกระดูกขาวใช้พลังสุดท้ายจนหมด ความหวังที่เขาจะทำให้ปีศาจตนนี้ยอมศิโรราบก็จะเพิ่มมากขึ้นเป็นสองในสิบส่วน
หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ และเก็บโล่แสงเข้าไป มือข้างหนึ่งคว้าผ่านอากาศไปยังแมงป่องกระดูกขาว
ปลายด้านหนึ่งของโซ่ตรวนวิญญาณก็ยกตัวขึ้นมา แล้วกลับมาอยู่บนมือเขาอย่างแม่นยำ
หลิ่วหมิงยกมันขึ้นมา จากนั้นร่ายคาถาแล้วแสดงวิชาทะยานเวหาเหาะขึ้นฟ้าไป
ครั้งนี้เขาเหาะไปไกลแค่ไม่กี่ลี้แล้วหาที่ตรงกลางภูเขาเล็กๆ สองลูก ที่ค่อนข้างอำพรางตัวได้ดี และเหาะลงไปบนนั้น
ด้วยพลังเวทของเขาตอนนี้ ไม่สามารถเหาะไปได้ไกลมากนัก และเมื่อพลังเวทในตัวแห้งเหือด วิธีการต่างๆ ก็ใช้จนหมดสิ้น ถ้าต้องพบเจอปีศาจตนอื่นอีกเกรงว่าจะทำได้แค่ประจันบาญเท่านั้น
หลิ่วหมิงหยิบน้ำเต้าสีดำออกมาอย่างรีบร้อน หลังวาดวงกลมล้อมรอบตัวเองและแมงป่องกระดูกขาวแล้ว เขาก็รีบนั่งขัดสมาธิลงไปทันที
ครั้งนี้เขาสูญเสียพลังเวทไปมากกว่าครั้งที่เผชิญกับฝูงผึ้งปีศาจมาก ด้วยเหตุนี้พอเขานั่งขัดสมาธิลงพลังปราณที่อยู่รอบๆ กับปราณหยินก็ซึมเข้าไปในร่างเขาอย่างรวดเร็ว
ชั่วครู่เดียวจิตของหลิ่วหมิงก็เข้าดำดิ่งสู่สมาธิ
เวลาค่อยๆ ผ่านไปอย่างช้าๆ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เขาถึงได้ลืมตาทั้งสองขี้นอีกครั้ง พลังเวทภายในร่างก็ฟื้นฟูกลับมาเต็มที่แล้ว
หลิ่วหมิงลุกขึ้นยืน ขยับแขนขาครู่หนึ่ง แล้วมองไปยังแมงป่องกระดูกขาวที่อยู่ในวงกลมอีกวง
ปีศาจตนนี้ยังคงถูกผูกมัดอย่างแน่นหนา ดูเหมือนว่าระหว่างที่เขาทำสมาธิฟื้นฟูพลังเวท มันก็ไม่ได้ดิ้นรนอะไรเลย
แน่นอนว่าปีศาจตนนี้ไม่มีพลังที่จะต่อต้านแล้วจริงๆ เปลวไฟสีเขียวในดวงตาก็ติดๆ ดับๆ อยู่อย่างนั้น
หลิ่วหมิงไม่กล้าถ่วงเวลาอีกต่อไป หยิบขวดเคลือบสีขาวใบหนึ่งออกมาจากอก และใช้โลหิตสีดำกลิ่นแสบจมูกที่บรรจุอยู่ในขวดนั้น วาดวงกลมขนาดใหญ่ยิ่งกว่าเดิมวงหนึ่ง แล้วทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่งชี้ผ่านอากาศไปยังปีศาจตนนั้น
โซ่ดำค่อยๆ กะพริบ ปลายด้านหนึ่งยืดขนาดยาวขึ้นและเล็กลงกว่าเดิม แล้วพันรอบตัวปีศาจสิบกว่ารอบ จากนั้นก็พับหางตะขอสีดำของมันลงมามัดติดกับลำตัวไว้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา