ทันใดนั้น มีเสียงฮึดฮัดดังมาจากทะเลโลหิต คนอื่นๆ ได้ยินกลับไม่รู้สึกอะไร แต่พอดังเข้าหูชายฉกรรจ์ระดับผลึกผู้นี้ กลับส่งเสียงดังราวกับฟ้าร้อง ร่างของเขาสั่นสะท้าน จากนั้นแขนขาทั้งสี่ก็แข็งขึ้นมา ในใจรู้สึกหวาดกลัวอย่างสุดขีด
ขณะนั้นเองมีเสียงดัง “ฟิ้ว!” แสงสีเลือดม้วนตัวออกจากทะเลโลหิต
ผู้คนทั้งหลายต่างก็พากันหลบด้วยความตกใจ
มีแค่ชายวัยกลางคนเท่านั้นที่ยังยืนอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน เขาถูกแสงสีเลือดห่อหุ้มไว้อย่างรวดเร็ว และถูกม้วนเข้าไปในทะเลโลหิต
ตั้งแต่ต้นจนจบ ราวกับว่าผู้ฝึกฝนระดับผลึกผู้นี้ไม่มีแรงต้านทานเลยแม้แต่น้อย
พอคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก หลังจากพากันถอยออกไปสองสามก้าวแล้ว อาวุธจิตวิญญาณบนตัวก็ปล่อยแสงสีต่างๆ ออกมาปกป้องตัวไว้
หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้าน เขาอ้าปากพ่นโล่กระดูกขนาดชุ่นกว่าๆ ออกมา หลังหมุนติ้วๆ แล้ว ก็ขยายใหญ่ตามแรงลมจนมีขนาดหลายฉื่อ และต้านทานไว้ตรงหน้า ขณะเดียวกัน ดวงตาทั้งคู่ก็จ้องมองทะเลโลหิตอย่างไม่ละสายตา
หากเขาคาดเดาไม่ผิดล่ะก็ ผู้ที่สามารถแสดงพลังโลหิตออกมาร้ายแรงเช่นนี้ โดยที่แม้แต่ระดับผลึกยังไม่สามารถต้านทานได้ น่าจะเป็นราชาโลหิตที่มีชื่ออยู่อันดับสองในบัญชีความเป็นความตายแล้ว
หลังจากทุกคนถอยออกไปได้เพียงไม่กี่อึดใจ ทะเลโลหิตก็พวยพุ่ง เผยให้เห็นระลอกคลื่นสีเลือดที่หมุนวนอย่างรวดเร็ว “ฟู่!” ศพแห้งเหี่ยวไร้ซึ่งกล้ามเนื้อถูกโยนออกจากระลอกคลื่น
พอผู้คนเขม้นตามอง ก็ค้นพบว่ามันคือชายวัยกลางคนคนระดับผลึกขั้นต้นในก่อนหน้า คิดไม่ถึงว่าในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ก็ถูกทะเลโลหิตบีบเลือดออกจากตัวจนหมด
นอกจากหลิ่วหมิงแล้ว ผู้ฝึกฝนระดับของเหลวห้าคนที่เหลือก็รู้สึกตกใจจนหน้าถอดสี หลังสบตากันครู่หนึ่งแล้ว ก็พากันขี่แสงหลบหลีกพุ่งหนีไป
“คิดจะหนีไปไหน มาเป็นหนึ่งในพลังของข้าเถอะ!” มีน้ำเสียงเย็นยะเยือกดังมาจากทะเลโลหิต
ครู่ต่อมา แสงโลหิตหลายลำก็ม้วนตัวออกจากทะเลโลหิตอันพวยพุ่ง ทั้งยังไม่รู้ว่ามีพลังลึกลับอันใดอยู่ในนั้นด้วย เพียงแค่พร่ามัวทีเดียว ก็ไปปรากฏอยู่เหนือศีรษะของผู้ฝึกฝนทั้งห้าที่หนีไปอย่างน่าประหลาดใจ และอาวุธจิตวิญญาณจำนวนมากก็ม้วนตัวลงมา
เกิดเสียงร้องอย่างน่าเวทนา ผู้ฝึกฝนทั้งห้าถูกแสงสีเลือดห่อหุ้มไว้ และถูกม้วนกลับเข้าไปในทะเลโลหิต พริบตาที่อาวุธจิตวิญญาณคุ้มตัวสัมผัสกับแสงสีเลือด มันก็ร่วงลงและสูญเสียการติดต่อกับเจ้าของ
ขณะเดียวกัน เงาร่างใครบางคนก็กระพริบไปมากลางอากาศอยู่ไม่หยุด ด้านหลังมีแสงสีเลือดตามติดอย่างต่อเนื่อง
เงาร่างนี้ก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
แสงกระบี่สีเขียวม้วนออกจากร่างหลิ่วหมิงในฉับพลัน และฟันใส่แสงสีเลือดด้านหลังจนดับลง จากนั้นร่างของเขาก็หยุดชะงักอยู่ห่างออกไปสิบกว่าจั้ง และหันกลับไปมองทะเลโลหิตขนาดหมู่กว่าๆ ที่อยู่ไม่ไกลด้วยสีหน้าสงบ
“ราชาโลหิต”
“ไม่ผิด! คือข้าเอง”
มีน้ำเสียงเยือกเย็นดังมาจากทะเลโลหิต “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” ศพแห้งเหี่ยวห้าศพพุ่งออกจากระลอกคลื่นในทะเลโลหิตพร้อมกัน
“เอาล่ะ! อาหารรองท้องก็กินเสร็จแล้ว พวกเรามาเริ่มกันเถอะ!”
ทะเลโลหิตตรงหน้าพวยพุ่งขึ้นมาโดยไม่รอให้หลิ่วหมิงถามอะไรมาก และม้วนเอาคลื่นยักษ์สีเลือดที่สูงสิบกว่าจั้งเข้าใส่หลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็มีสีหน้าอึมครึมขึ้นมา “ป๊าบ!” มือข้างหนึ่งตบไปยังโล่กระดูกตรงหน้า
ทันใดนั้นโล่เก้ากะโหลกส่งสียงดังหวึ่งๆ และพุ่งขึ้นบนอากาศ ขณะเดียวกันก็ขยายใหญ่อย่างบ้าคลั่ง จนมีขนาดเท่าบ้านหลังหนึ่งภายในอึดใจเดียว
หลิ่วหมิงร่ายคาถาออกมา นิ้วทั้งสิบเคลื่อนไหวราวกับล้อรถ และปล่อยพลังใส่โล่ยักษ์สีดำกลางอากาศ
“ตู๊ม!” โล่ยักษ์ระเบิดตัวกลางอากาศ จากนั้นก็กลายเป็นไอดำอันพวยพุ่งม้วนตัวไปปกป้องหลิ่วหมิงไว้อย่างแน่นหนา
“ฟู่ๆ!” หลังจากทะเลโลหิตสัมผัสกับหมอกดำอันพวยพุ่ง มันก็ประสานกันไปมาโดยที่ไม่มีใครตกเป็นรองใคร
ท่ามกลางไอหมอกสีดำ นิ้วทั้งสิบของหลิ่วหมิงเคลื่อนไหวราวกับล้อรถ พอชี้ไปกลางอากาศ เงาหัวกะโหลกเก้าใบก็โผล่ออกมาท่ามกลางไอดำที่ลอยวน และส่งเสียงแปลกประหลาดออกมา จากนั้นก็พากันยื่นหัวออกจากขอบทะเลหมอก และดูดปราณโลหิตจากทะเลโลหิตอย่างดุเดือด
แต่เพียงครู่เดียว อัคคีบริสุทธิ์ในดวงตาทั้งสองของหัวกะโหลกทั้งเก้าก็มืดลงเล็กน้อย
หลิ่วหมิงมีสีหน้าเคร่งขรึมลง ดูท่าปราณโลหิตที่ราชาโลหิตปล่อยออกมาคงจะไม่ธรรมดา
ขณะที่หัวกะโหลกทั้งเก้าเริ่มจะต้านทานไม่ไหวนั้น ขนาดของทะเลหมอกสีดำก็ค่อยๆ ลดลงจนเหลือแค่สองสามจั้ง ราวกับว่าทะเลหมอกสีดำจะถูกทะเลโลหิตห่อหุ้มไว้ด้านใน
หลิ่วหมิงสูดหายใจเข้าลึกๆ ในทันที พอสะบัดไหล่ ก็มีเสียงมังกรพยัคฆ์คำรามดังก้องฟ้า และมีเสียงเปรี๊ยะๆ ดังมาจากร่างของเขา มังกรหมอกดำสามตัวกับพยัคฆ์หมอกดำสามตัวที่ดูราวกับมีชีวิต พุ่งออกจากหลังเขาในทันที
มังกรพยัคฆ์หมอกทั้งหมดส่งเสียงคำราม และหมุนวนรอบตัวหลิ่วหมิงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กระโจนเข้าไปในทะเลหมอก ทำให้ทะเลหมอกที่โล่เก้ากะโหลกสร้างขึ้นมาพวยพุ่งอยู่ครู่หนึ่ง และหนาแน่นกว่าเดิมเล็กน้อย ทำให้ทะเลโลหิตที่ดันเข้ามาในก่อนหน้าต้องถอยออกไปเล็กน้อย
แขนของหลิ่วหมิงพร่ามัว และปล่อยกำปั้นใส่ทะเลโลหิต ทันใดนั้นพลังมหาศาลก็พุ่งออกไป ทำให้ทะเลโลหิตถูกเจาะจนกลายเป็นถ้ำขนาดใหญ่
มีเงาร่างสีแดงสลัวๆ ยืนอยู่ด้านหลังถ้ำ ซึ่งเขาก็คือราชาโลหิตนั่นเอง แม้จะมองเห็นใบหน้าไม่ชัดเจน แต่ดวงตากลับเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
และมังกรทั้งสามตัวที่อยู่บนหลังหลิ่วหมิงก็แผดเสียงร้องออกมา จากนั้นก็พุ่งออกจากถ้ำขนาดใหญ่ และแยกเขี้ยวยิงฟันกระโจนเข้าหาหลิ่วหมิง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา