พอหลิ่วหมิงเก็บแผ่นหยกเข้าไปแล้ว ก็ออกไปจากยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณ จากนั้นก็พุ่งไปทางหอเก็บคัมภีร์อีกครั้ง
แต่ว่าหลิ่วหมิงเพิ่งจะเหาะออกไปได้ไม่ไกล เมฆสีขาวก้อนหนึ่งก็ตามหลังเขามา
หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว และลดความเร็วลง พอหันหน้ากลับไป ก็ค้นพบว่าผู้ที่อยู่บนก้อนเมฆสีขาวก็คือเถียนจิง หญิงสาวอายุสิบหกสิบเจ็ดปีผู้นั้น
ทันใดนั้น เมฆขาวก็เพิ่มความเร็ว และเหาะมาอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิง
“ศิษย์พี่ ทำไมไปเร็วขนาดนั้นล่ะ ทำข้าตามมาเหนื่อยแทบแย่” ใบหน้าเถียนจิงแดงเล็กน้อย นางตบหน้าอกตัวเองแล้วหอบหายใจสองทีก่อนกล่าวออกมา
“ไม่ทราบศิษย์น้องตามมาถึงที่นี่มีธุระอันใดหรือ?” แม้หลิ่วหมิงจะรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็กล่าวด้วยสีหน้าสงบ
“อันนี้…ศิษย์พี่หลิ่วลองทายดู” เถียนจิงกระพริบตาแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“หากศิษย์น้องไม่มีธุระอะไร ข้ายังมีเรื่องสำคัญต้องรีบทำ ต้องขอตัวก่อน” หลิ่วหมิงไม่มีเวลาให้หลานสาวของผู้อาวุโสเถียนผู้นี้มาตอแย พอประสานมือแล้วก็คิดจะจากไปทันที
“เดี๋ยวๆ ก่อน ศิษย์พี่ อย่าเพิ่งรีบไปสิ ท่านปรุงโอสถเก่งขนาดนั้น ไม่สู้พวกเรามาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ปรุงโอสถกันหน่อยเป็นไร…” หญิงสาวเห็นเช่นนี้ก็รีบส่งเสียงเอะอะโวยวายออกมา
“ที่ครั้งนี้ข้าผ่านการยอมรับเป็นผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถในนิกาย ก็เป็นเพราะว่าข้าโชคดีก็เท่านั้น หากศิษย์น้องเถียนอยากยกระดับวิชาโอสถของตนเองล่ะก็ ไปหาศิษย์พี่ทั้งหลายในยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณเถอะ ข้ายังมีเรื่องต้องทำ ไม่ขออยู่เป็นเพื่อนแล้ว”
หลิ่วหมิงได้ยินก็ปฏิเสธทันที เขาทำท่าเคล็ดกระบี่โดยไม่รอให้นางพูดอะไรมาก จากนั้นก็กลายเป็นแสงกระบี่สีเขียวพุ่งยิงออกไป พริบตาเดียว ก็หายไปท่ามกลางยอดเขาที่ทอดยาวติดต่อกัน
เถียนจิงมีระดับการฝึกฝนไม่สูง เป็นแค่ระดับของเหลวขั้นกลางเท่านั้น ย่อมไม่อาจเทียบความเร็วกับวิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่งของหลิ่วหมิงได้ พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็รู้สึกโกรธจนกระทืบเท้าสองสามที จากนั้นก็ทำเสียงฮึดฮัดและหมุนตัวเหาะกลับไปยังยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณอีกครั้ง
ไม่นาน หลิ่วหมิงก็กลับมาถึงหอเก็บคัมภีร์อีกครั้ง
“ยินดีด้วยศิษย์พี่หลิ่ว ระยะเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่วัน ก็ได้รับการยอมรับสถานะผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถแล้ว” หลังจากศิษย์ดำเนินการร่างอวบอ้วนกวาดสายตามองดูภาพเตาหลอมบนป้ายที่ห้อยอยู่บนเอวหลิ่วหมิง ก็รู้สึกตกใจมาก แต่ก็กล่าวแสดงความยินดีอย่างรวดเร็ว
“ศิษย์พี่หลี่ว์เกรงใจไปแล้ว ข้าก็แค่โชคดีเท่านั้น” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างนอบน้อมไปหนึ่งประโยค จากนั้นก็เดินไปยังที่วางตำราโอสถอย่างรวดเร็ว
ครั้งนี้ ทันทีที่หลิ่วหมิงโบกป้ายประจำตัวใส่ชั้นจำกัดบนตำราโอสถ แสงสีทองลำหนึ่งก็พุ่งยิงออกมา ทันใดนั้น ลวดลายจิตวิญญาณสีเทาก็เปล่งประกายบนป้ายและกระพริบหายไปทันที ส่วนแต้มคุณูปการบนป้ายก็โดยหักไปหนึ่งแสนแต้ม
จากนั้นหลิ่วหมิงก็รีบนั่งขัดสมาธิลง และนำตำราโอสถมาแปะไว้บนหน้าผาก จากนั้นก็อ่านดูอย่างละเอียด
ที่เขาไม่ได้เลือกโอสถระดับผลึกอื่นๆ แต่เลือกโอสถนี้แทน ไม่ใช่เป็นเพราะว่าตำราโอสถนี้ใช้แต้มคุณูปการน้อย แต่เป็นเพราะว่าสมุนไพรจิตวิญญาณที่เป็นวัตถุดิบหลักของโอสถนี้ คือผลิตผลพิเศษของสถานที่บางแห่งในแผ่นดินจงเทียน เพียงแค่ไปหาด้วยตนเอง หรือซื้อมาในราคาที่สูง ก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มว่าจะหาส่วนผสมนี้ไม่ได้
แม้ว่าโอสถระดับผลึกอื่นๆ จะมีอัตราปรุงสำเร็จสูงกว่าเล็กน้อย ปรุงเป็นโอสถได้ง่ายยิ่งกว่า แต่วัตถุดิบก็ถูกแย่งชิงจนหมด ทำให้รวบรวมได้ยาก ย่อมไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีสำหรับหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงรีบกล่าวลาศิษย์ดำเนินการ จากนั้นก็รีบออกไปจากหอเก็บคัมภีร์ และกลายเป็นแสงหลบหลีกสีดำพุ่งกลับไปยังถ้ำที่พัก
“ท่านคือศิษย์น้องหลิ่วใช่หรือไม่? ข้าน้อยเสวียนอู๋” เมื่อหลิ่วหมิงกลับถึงถ้ำที่พัก ก็พบกับชายชุดดำผู้หนึ่งที่รออยู่หน้าถ้ำนานแล้ว พอได้ยินเสียง เขาก็หันหน้ามาทันที
คนผู้นี้ใบหน้าแคบยาว มีกระเต็มใบหน้า แลดูอัปลักษณ์เล็กน้อย
“ท่านคือ?” หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ชายชุดเขียวหน้าตาพื้นๆ ตรงหน้าผู้นี้ ก็เป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึกท่านหนึ่ง ดูจากกลิ่นไอที่แผ่ออกมา ดูเหมือนว่าจะฝึกฝนถึงระดับผลึกขั้นกลางแล้ว
แม้เขาจะไม่ค่อยสนิทกับศิษย์ในยอดเขาลั่วโยว แต่ว่าศิษย์ระดับผลึกยังเคยพบหน้ากันอยู่บ้าง แต่คนผู้นี้เขาไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
“ฮ่าๆ! ข้าน้อยบอกแค่ชื่อศิษย์น้องคงยังรู้สึกฉงนเล็กน้อย ข้าเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสอวี๋ แต่ว่าหลายปีก่อนล้วนออกไปเดินทางนอกนิกายมาโดยตลอด แม้เจ้ากับข้าจะอยู่ยอดเขาเดียวกัน แค่ศิษย์น้องคงจะไม่เคยได้ยินชื่อของข้า” ชายชุดดำหัวเราะออกมา
“ที่แท้ก็เป็นศิษย์พี่เสวียน” หลิ่วหมิงเข้าใจในทันที จากนั้นก็โค้งตัวคารวะหนึ่งที
ศิษย์ยอดเขาลั่วโยวยี่สิบถึงสามสิบคนที่อยู่ในยอดเขาขณะนี้ มีระดับผลึกเป็นส่วนน้อย ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีแค่สิบกว่าคนเท่านั้น ส่วนมากเป็นศิษย์สายตรงของผู้อาวุโสท่านอื่น ใต้สังกัดของอินจิ่วหลิงก็มีเสี่ยวอู่แค่คนเดียวเท่านั้น ช่วงนี้เพิ่งรับหลิ่วหมิงเข้ามา
“ศิษย์น้องหลิ่วไม่ต้องมากพิธี ชื่อเสียงของเจ้าข้าก็เคยได้ยินมาแล้ว ต่อไปพวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้องยังต้องพบหน้ากันบ่อยๆ จะได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ฝึกฝนให้มาก ใช่สิ! ได้เจอกับศิษย์น้องเหมือนได้พบสหายเก่า ทำเอาข้าเกือบลืมเรื่องสำคัญไปเลย เมื่อครู่อาจารย์ลุงอินได้สั่งการลงมาว่า ตอนนี้ศิษย์น้องเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว ถ้ำที่พักแห่งนี้ไม่ค่อยเหมาะสมแล้ว ด้วยเหตุนี้อาจารย์ลุงจึงช่วยเจ้าเลือกถ้ำให้เป็นพิเศษ ซึ่งได้แก่ถ้ำหมายเลขแปดที่อยู่ติดกับยอดเขา อีกประเดี๋ยวศิษย์น้องก็สามารถไปที่นั่นได้ด้วยตนเอง” เสวียนอู๋เอามือตบหน้าผากแล้วกล่าวออกมา
“ขอบคุณศิษย์พี่ที่แจ้งให้ทราบ อีกประเดี๋ยวข้าจะไปกราบขอบคุณอาจารย์” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกดีใจมาก ยิ่งใกล้ยอดเขา ก็ยิ่งแสดงว่าปราณหยินภายในถ้ำหนาแน่น มีส่วนช่วยในการปรับสมดุลของระดับการฝึกฝนในตอนนี้ไม่น้อย
“ศิษย์น้องหลิ่วเกรงใจเกินไปแล้ว แต่อาจารย์ลุงอินสั่งว่า สถานการณ์ของศิษย์น้องในตอนนี้ ยังต้องปรับสมดุลระดับการฝึกฝนให้มาก ไม่จำเป็นต้องไปกราบขอบคุณแล้ว” เสวียนอู๋ได้ยินก็หัวเราะออกมา
หลิ่วหมิงย่อมกล่าวขอบคุณอีกครั้ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา