ประการแรก พออสูรจิตวิญญาณถูกหลอมเป็นเกราะอสูรแล้ว ก็ไม่สามารถดูดซับปราณจิตวิญญาณภายนอกได้เลยแม้แต่น้อย ดังนั้นการมีชีวิตรอดกับการเพิ่มขึ้นของพลังที่แท้จริง ล้วนอาศัยการดูดซับพลังเวทของเจ้าของร่างมาช่วยเสริม
ผู้ฝึกฝนทั่วไปล้วนให้ความสำคัญกับการฝึกฝนของตนเองเป็นอย่างมาก เมื่อรู้สึกว่าพลังเวทไม่เพียงพอสำหรับการฝึกฝน ไหนเลยจะยอมแบ่งพลังเวทของตนเองให้อสูรจิตวิญญาณตัวนหนึ่งเพียงเพราะเคล็ดวิชานี้
ประการที่สอง วิชานี้ยังมีความโหดเหี้ยมเป็นอย่างมากในการคัดเลือกอสูรจิตวิญญาณ จำต้องเริ่มเซ่นสังเวยตั้งแต่ยังเป็นอสูรน้อย และในขณะที่ทำการเซ่นสังเวย อสูรน้อยต้องไม่มีการต่อต้านใดๆ เลย ถึงจะทำการเซ่นสังเวยสำเร็จ
สุดท้าย อสูรจิตวิญญาณที่เลือกมาตัวนี้จะต้องมีศักยภาพที่สามารถแตะต้องได้ หลังจากเติบโตแล้วมีพลังที่น่าตกใจ เช่นนี้แล้ว เกราะอสูรที่สร้างขึ้นมาถึงจะเพิ่มพลังให้กับผู้ฝึกฝนเป็นทวี และได้รับสิ่งที่ควรจะได้ในการฝึกฝนวิชานี้ มิเช่นนั้นหากเลือกอสูรจิตวิญญาณอย่างไม่ใส่ใจ จะทำให้เสียเวลาในตอนท้ายเปล่าๆ
ภายในเงื่อนไขสามข้อนี้ สิ่งที่ทำยากที่สุดก็คือข้อสองแล้ว
เพราะตามที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ ในระหว่างการเซ่นสังเวยนั้น อสูรจิตวิญญาณจะเกิดความเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ต่อให้จะเป็นอสูรที่มีเลือดเป็นอสูรเลี้ยง ก็จะเกิดความเจ็บปวดจนทำให้เกิดการต่อต้านได้ ด้วยเหตุนี้จะทำให้พลังสะท้อนกลับจนร่างของอสูรน้อยระเบิดเสียชีวิต
คาดว่าหากโชคไม่เลวล่ะก็ เซ่นสังเวยสักเจ็ดแปดครั้ง ก็อาจจะสำเร็จหนึ่งครั้งก็เป็นไปได้ แต่ทุกครั้งที่ทำการเซ่นสังเวยล้มเหลว จะสร้างความเสียหายต่อพลังชีวิตผู้ฝึกฝนเป็นอย่างมาก หากเจ็ดแปดครั้งแล้วยังไม่สำเร็จล่ะก็ ระดับการฝึกฝนของผู้ทำการเซ่นสังเวยอาจจะลดลงไปสามขั้นก็ได้ ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าใดถึงสามารถบ่มเพาะกลับมาได้ดังเดิม
สามารถกล่าวได้ว่า การฝึกฝนวิชานี้เป็นตัวเลือกที่มีทั้งความเสี่ยงและโอกาสนั่นเอง
ด้วยเหตุนี้ ในส่วนท้ายของคัมภีร์จึงระบุไว้อย่างชัดแจ้ง หากไม่ใช่ผู้ที่มีจิตใจเด็ดเดี่ยวอย่าได้ฝืนฝึกเป็นอันขาด
หลิ่วหมิงอ่านจบก็รู้สึกใจเต้นอย่างอดไม่ได้
อย่างที่รู้ว่า เดิมทีเขาก็เป็นผู้ฝึกร่างครึ่งหนึ่ง ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของเคล็ดวิชากระดูกดำและมังกรพยัคฆ์ทมิฬ ทำให้กายเนื้อในตอนนี้แข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกร่างระดับเดียวกันมาก หากมีวิชาฝึกร่างที่ใช้ในการต่อสู้จริงมาประกอบล่ะก็ ย่อมมีอานุภาพเท่าตัวเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู
อีกอย่าง เคล็ดวิชานี้ยังสามารถมีพลังของอสูรจิตวิญญาณได้ เกรงว่าไม่ว่าผู้ฝึกฝนท่านใด ก็ไม่อาจต้านทานความยั่วยวนนี้ได้
สำหรับปัญหาเรื่องการดูดซับพลังงานเวท เพียงแค่เขามีโอสถอยู่ในมือจำนวนมาก ย่อมไม่ต้องสนใจพลังเวทอันน้อยนิดนี้อย่างแน่นอน สิ่งเดียวที่เป็นกังวลในตอนนี้ก็คือ เรื่องการเซ่นสังเวยอสูรน้อยอย่างยากลำบากนั่นเอง
ต่อให้เป็นเขา ก็ไม่สามารถแบกรับผลของการสูญเสียพลังเจ็ดแปดครั้งติดต่อกันได้ ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อรากฐานของเขาแล้ว
“อสูรน้อย…”
หลิ่วหมิงพูดคำนี้ออกมา หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ดวงตาของเขาก็เปล่งประกายในฉับพลัน แสงสว่างปรากฏบนมือ และถุงอสูรจิตวิญญาณใบหนึ่ง ก็ออกมาจากแหวนย่อส่วน
แสงสีชมพูเปล่งประกายตรงปากถุง อสูรสมุทรน้อยแปดขาปรากฏขึ้นตรงหน้า
สุราคุณภาพเยี่ยมที่เขาซื้อมาจากเมืองจินหยวนในตอนนั้น ได้บำรุงปีศาจสมุทรแปดขาไปหนึ่งรอบ ตอนนี้หัวของมันใหญ่ขึ้นมาหนึ่งเท่ากว่าๆ ลวดลายจิตวิญญาณสีชมพูบนตัวก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมา
หลิ่วหมิงใช้นิ้วกดระหว่างคิ้วของอสูรน้อย และร่ายคาถาออกมา ครู่เดียวใบเขาก็เผยสีหน้ายินดีออกมา
อสูรตนนี้ยังไม่มีสติปัญญา เหลือไว้แค่ความสามารถเฉพาะตัวเท่านั้น
ก่อนหน้านั้น เขารู้สึกผิดหวังเพราะสิ่งนี้ แต่ว่าตอนนี้ราวกับว่าจุดอ่อนนี้จะเตรียมไว้เพื่อเขาโดยเฉพาะ
หากไม่รู้สึกตัวล่ะก็ แสดงว่ามันจะไม่ต่อต้านในระหว่างทำการเซ่นสังเวยอย่างแน่นอน บวกกับการที่อสูรสมุทรแปดขานี้ ฟักออกมาจากไข่เทพอสูร หากพูดถึงพลังแฝง ย่อมล้ำเลิศเป็นอย่างยิ่ง มิเช่นนั้นคงไม่ถูกคนเผ่าเจ้าสมุทรยกให้เป็นเทพอสูร
ด้วยเหตุนี้ การใช้อสูรน้อยตัวนี้มาฝึกฝนเคล็ดวิชาเกราะอสูรย่อมเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากตัดสินใจแล้ว หลิ่วหมิงก็เก็บปีศาจสมุทรเข้าไป และยืนนิ่งๆ อยู่กลางห้อง
วัสดุหลายสิบรายการที่ระบุไว้ในคัมภีร์อักขระปีศาจ ล้วนเป็นวัสดุเซ่นสังเวยอสูร ส่วนหนึ่งในนั้นเป็นวัสดุจิตวิญญาญธาตุหยินที่ล้ำค่าเป็นอย่างมาก
ลำพังแค่วัสดุในรายการนี้ ก็มีมูลค่าราวๆ หนึ่งล้านหินจิตวิญญาณแล้ว
หลิ่วหมิงออกไปจากถ้ำที่พักในทันที จากนั้นก็ไปซื้อวัสดุที่จำเป็นในตลาดของนิกายมาครึ่งหนึ่งก่อน แต่ว่าวัสดุหายากสองสามอย่างยังคงหาซื้อไม่ได้ จากนั้นถึงไปสถานที่ที่มีชื่อว่าหอไท่เจิน และใช้แต้มคุณูปการไปหลายหมื่นถึงซื้อวัสดุทั้งหมดมาได้ครบ
หลังจากกลับถึงถ้ำที่พัก เขาก็รีบปิดประตูใหญ่ทันที และเปิดชั้นจำกัดทั้งหมดไว้ เช่นนี้แล้วในระหว่างทำการเซ่นสังเวยก็จะไม่ถูกใครรบกวนอีก
ภายในห้องลับ หลิ่วหมิงนำอสูรสมุทรออกจากถุงอสูรจิตวิญญาณ ร่างสีชมพูของมันม้วนตัวตามแสงไปลอยอยู่กลางอากาศ หนวดสัมผัสสีชมพูแปดเส้นโบกสะบัดตามสัญชาตญาณ
พอหลิ่วหมิงทำท่ามือ โลหิตหยดหนึ่งก็ถูกบีบออกจากนิ้ว และหยดลงบนหน้าผากของอสูรน้อย ขณะเดียวกันก็ร่ายคาถาออกมา มือทั้งสองเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว
นี่เป็นเคล็ดวิชาสื่อสารจิตวิญญาณ เนื่องจากอสูรสมุทรแปดขาไม่มีสติปัญญาอะไร จึงถูกเขารับเป็นอสูรเลี้ยงอย่างง่ายดาย
ขณะที่อักขระสีดำตัวสุดท้ายจมหายไปในหัวของปีศาจสมุทรแปดขาอย่างไร้ร่องรอย ปีศาจสมุทรแปดขาที่ไร้ซึ่งความรู้สึกก็ขยับตัวอยู่ครู่หนึ่ง หนวดสัมผัสจำนวนมากม้วนตัวรัดพันแขนของหลิ่วหมิงไว้
พอหลิ่วหมิงขยับแขน ไอดำก็ม้วนตัวออกไป จากนั้นก็วางอสูรน้อยลงบนพื้นอย่างระมัดระวัง
ขณะที่แขนทั้งสองของเขาโบกสะบัดอยู่ไม่หยุด ธงค่ายกลแต่ละชิ้นกับแผ่นค่ายกลก็พุ่งออกมา และกระพริบหายไปบนพื้นห้องลับ ไม่นานก็ก่อตัวเป็นค่ายกลหลายชั้น
หลิ่วหมิงคว้ามือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ จากนั้นพู่กันสีเงินด้ามหนึ่งก็ปรากฏออกมา และวาดลงบนตัวอสูรน้อยผ่านอากาศอย่างรวดเร็ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา