ตอนที่ 643 วิชาสายฟ้าสวรรค์ – ตอนที่ต้องอ่านของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา
ตอนนี้ของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 643 วิชาสายฟ้าสวรรค์ จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
พลังป้องกันของเกราะอสูรในตอนนี้ เทียบเท่ากับอาวุธจิตวิญญาณป้องกันระดับสูงเท่านั้น ซึ่งพอๆ กับเกราะหนังมังกรแดงของเขาในเมื่อก่อน
ครู่ต่อมา เขากำมือทั้งสองไว้แน่น ข้อต่อกระดูกในร่างส่งเสียงดังราวกับเสียงคั่วเม็ดถั่ว จากนั้นก็ทุบไปกลางอากาศอย่างรุนแรง
“ตู๊ม!”
ห้องลับสั่นสะเทือน!
หลังจากหลิ่วหมิงเก็บกำปั้น และมองดูเกราะหนังบนตัวแล้ว ดวงตาของเขาก็เผยแววดีใจออกมา
จากการโจมตีในเมื่อครู่ เขารับรู้ถึงพลังเวทที่เพิ่มขึ้นมาราวๆ หนึ่งส่วนอย่างชัดเจน
อย่าได้ดูถูกพลังที่เพิ่มขึ้นมาแค่หนึ่งส่วนนี้ เดิมทีร่างของเขาก็แข็งแกร่งเป็นอย่างมากอยู่แล้ว สำหรับผู้ฝึกฝนธรรมดาแล้ว พลังหนึ่งส่วนนี้เป็นพลังที่น่าตกใจมาก
และอสูรสมุทรแปดขาในตอนนี้ ยังเป็นแค่อสูรน้อยเท่านั้น หากรอมันเติบโตขึ้นมาล่ะก็ คงยากที่จะจินตนาการถึงระดับความน่ากลัวของมันได้ แม้กระทั่งอาจเพิ่มพลังได้หนึ่งเท่ากว่าๆ ก็มีโอกาสเป็นไปได้
นอกจากนี้ ปีศาจสมุทรแปดขาที่เป็นเกราะอสูร ย่อมไม่ได้เป็นชุดเกราะธรรมดา ในเคล็ดวิชาเกราะอสูรยังบันทึกวิธีการควบคุมให้มันเปลี่ยนแปลงได้หลากหลายรูปแบบในการรับมือกับศัตรู
หลิ่วหมิงทำการเปรียบเทียบสถานการณ์ของปีศาจสมุทรแปดขากับเนื้อหาที่บันทึกไว้ในคัมภีร์เล็กน้อย จากนั้นก็พอจะรับรู้ถึงความสามารถคร่าวๆ ของปีศาจสมุทรแปดขาในอนาคต
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อผ่านการฝึกฝนที่แน่นอน ก็สามารถทำให้เกราะอสูรสมุทรแปดขากลายสภาพเป็นถุงมือ โล่ และอื่นๆ เป็นต้น
และเมื่ออสูรน้อยโตขึ้นมาอีกหน่อยล่ะก็ สามารถควบคุมให้กลายสภาพเป็นแขนใต้ซี่โครงเพื่อโจมตีในขณะที่ศัตรูไม่ทันได้ระวังได้ หรืออาจทำให้กลายเป็นปีกตรงหลังเพื่อช่วยในการเหินเวหา เป็นต้น
หลังจากหลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองเช่นนี้แล้ว มือข้างหนึ่งก็ปล่อยพลังออกมา เกราะสีเงินบนตัวพร่ามัวกลายสภาพเป็นหมึกสีชมพูตัวเล็กๆ และติดหนึบอยู่บนหน้าอกของเขา
พอเขาเห็นเช่นนี้ก็ไม่คิดจะดึงมันออกมา แต่กลับใส่เสื้อปิดคลุมมันไว้
เพราะหากยอมให้อสูรสมุทรน้อยแปดขาติดตัวไปล่ะก็ ไม่เพียงแต่จะบ่มเพาะได้สะดวก พอเผชิญหน้ากับศัตรูก็สามารถใส่พลังเวทได้ทันที พริบตาเดียวก็จะกลายเป็นเกราะอสูร ซึ่งสามารถนำออกมาใช้งานได้ทันที
หลังจากหลิ่วหมิงหลอมเกราะอสูรสำเร็จแล้ว ก็คิดไตร่ตรองไปรอบหนึ่ง จากนั้นก็ตัดสินใจไปเลือกเคล็ดวิชาที่เหมาะสมกับระดับผลึกเพื่อทำการฝึกฝน
เพราะครั้งนี้เขาสามารถอยู่ในห้องว่างเปล่าลึกลับได้นานถึงสิบหกปี ซึ่งมีเวลาอย่างเพียงพอ ต้องเตรียมการให้มาก
ดังนั้นเขาจึงออกจากถ้ำที่พักอีกครั้ง และขี่เมฆไปยังหอคัมภีร์ของยอดเขาลั่วโยว
หนึ่งชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงเดินออกจากหอคัมภีร์ด้วยสองมือที่ว่างเปล่า และใบหน้าของเขาก็เผยรอยยิ้มอันขมขื่นออกมา
ในหอคัมภีร์ของยอดเขา ส่วนมากเป็นเคล็ดวิชาสายปีศาจ ดูจากเงื่อนไขการฝึกฝนที่บรรยายแล้ว เห็นได้ชัดว่ามีส่วนที่ขัดแย้งกับเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬมาก และไม่เหมาะสมกับการฝึกฝนของเขา
หลังจากหลิ่วหมิงทำท่ามืออีกครั้ง เขาก็เหยียบเมฆดำพุ่งไปยังหอเก็บคัมภีร์ของนิกาย
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป เขาก็มาถึงหอเก็บของคัมภีร์ของนิกายที่มาบ่อยจนคุ้นเคยแล้ว
หลิ่วหมิงทักทายศิษย์ดำเนินการร่างอ้วนอย่างง่ายๆ จากนั้นก็เดินตรงไปยังชั้นสามทันที
เขาอยู่บนชั้นสามนานถึงสามชั่วยาม พลิกอ่านคัมภีร์ไปหลายสิบเล่ม แต่ก็ยังหาเคล็ดวิชาที่เหมาะสมไม่ได้
ขณะนั้นเอง ชั้นไม้สีดำที่อยู่มุมหนึ่งของห้องก็ดึงดูดความสนใจของเขา
บนชั้นไม้มีคัมภีร์ที่ดูซีดเหลืองเล็กน้อยวางอยู่สิบกว่าเล่มเท่านั้น
“เคล็ดวิชาบรรพกาล?”
หลิ่วหมิงกวาดสายตาดูอักขระเล็กๆ สองสามตัวบริเวณชั้นไม้ และเผยแววตาประหลาดใจออกมา ทันใดนั้นเขาก็ลุกเดินไปยังหน้าชั้นไม้สีดำทันที และหยิบคัมภีร์เล่มหนึ่งมาเปิดดูหน้าแนะนำสองสามหน้าแรกอย่างไม่ใส่ใจ
หลิ่วหมิงมาหอเก็บคัมภีร์บ่อยครั้งเช่นนี้ ย่อมเข้าใจคัมภีร์ประเภทต่างๆ อย่างชัดเจน
เคล็ดวิชาบรรพกาลที่กล่าวถึง ดูความหมายจากชื่อแล้ว มันเป็นเคล็ดวิชาจำนวนหนึ่งในสมัยบรรพกาล วิชาเหล่านี้มักจะมีอานุภาพไม่เลว แต่สำหรับตอนนี้แล้ว ส่วนใหญ่ไม่สามารถจัดรวมอยู่ในอันดับได้ เงื่อนการฝึกฝนก็โหดร้ายเป็นอย่างมาก โดยทั่วไปไม่ค่อยมีคนถามหา
เพราปราณจิตวิญญาณฟ้าดินกับสมบัติฟ้าดินต่างๆ ในสมัยบรรพกาล ไม่ใช่สิ่งที่ตอนนี้จะสามารถเปรียบเทียบได้
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป เขาก็ส่ายหน้าเล็กน้อย และวางคัมภีร์ในมือลง จากนั้นก็หยิบอีกเล่มขึ้นมา
ไม่นาน ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังคิดจะวางคัมภีร์ในมือลงบนชั้นไม้นั้น พลันได้ยินเสียงหลัวโหวดังขึ้นข้างหูเบาๆ
“วิชาสายฟ้าสวรรค์นี้ พอฝึกฝนสำเร็จสามารถดูดรับพลังสายฟ้าที่แท้จริงมาควบคุมไอปีศาจหยินทั้งหมดได้ มีผลในการควบคุมจิตปีศาจในร่างของเจ้า แม้ว่าจะไม่อาจขุดรากถอนโคนจิตปีศาจได้ แต่กลับมีผลในการถ่วงเวลาให้ช้าออกไป”
“ผู้อาวุโสกล่าวจริงหรือ?” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกตกใจในทันที และรีบถามเข้าไปในทะเลจิตรับรู้
แต่พอเขาถามออกไปแล้ว กลับมีแต่ความเงียบในหู ไม่มีน้ำเสียงของหลัวโหวดังขึ้นมาอีก
หลิ่วหมิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาในทันที และคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว
แม้เขาจะรู้สึกเหนื่อยล้า แต่ในที่สุดก็เข้าใจว่าทำไมวิชานี้ถึงมีอานุภาพไร้ขอบเขต แต่ศิษย์ในนิกายกลับมีคนเลือกฝึกฝนวิชานี้น้อยมาก
ตามบันทึกในคัมภีร์ วิชาสายฟ้าสวรรค์นี้ ดูจากชื่อแล้วเป็นวิชาที่ต้องอาศัยพลังของสายฟ้าสวรรค์ถึงจะฝึกฝนได้ ไม่เพียงแต่สิ้นเปลืองเวลาในการฝึกฝนเป็นอย่างมาก ทุกครั้งต้องรอจนกว่าฝนตกฟ้าร้องถึงจะสามารถฝึกฝนได้
เช่นนี้แล้วต่อให้เป็นศิษย์ที่มีพรสวรรค์ทางด้านวิชาอย่างน่าตกใจ แต่หากทุกครั้งที่มีพายุฝนฟ้าคะนองไม่ดึงเวลาในการฝึกฝน เกรงว่าเวลานับร้อยปีก็เพิ่งเข้าถึงขั้นต้นเท่านั้น
แต่สำหรับหลิ่วหมิงแล้ว หากวิชาสายฟ้าสวรรค์สามารถควบคุมไอปีศาจได้ อย่างน้อยต้องฝึกฝนถึงขั้นลึกซึ้งถึงจะได้ ดูจากสถานการณ์ของเขาในตอนนี้ต้องใช้เวลาฝึกฝนนับพันปีเลยทีเดียว
ระยะเวลาที่ยาวนานเช่นนี้ เขาย่อมไม่อาจรอได้
เมื่อหลิ่วหมิงเข้าใจถึงเวลาที่ต้องใช้สำหรับฝึกฝนวิชาสายฟ้าสวรรค์แล้ว ใบหน้าของเขาก็ประเดี๋ยวกลายเป็นสีแดงประเดี๋ยวกลายเป็นสีขาวอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็หลับตาทั้งคู่ลงทันที และค่อยๆ ปล่อยพลังเวทเข้าไปในศิลาหุนเทียน
ครู่ต่อมา พลันมีเสียงดังหวึ่งข้างหูของเขา จากนั้นดวงตาทั้งคู่ก็มืดลง และร่างของเขาก็มาปรากฏตัวในห้องว่างเปล่าลึกลับ
และชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังเอามือไขว้หลังยืนอยู่ไม่ไกล ซึ่งก็คือหลัวโหวนั่นเอง
“ผู้อาวุโสหลัวโหว ก่อนหน้านั้นท่านบอกแค่ว่าหลังจากฝึกฝนวิชาสายฟ้าสวรรค์นี้สำเร็จ จะมีผลในการควบคุมจิตปีศาจ แต่ไม่ได้บอกว่าต้องฝึกฝนวิชานี้ในขณะฝนตกฟ้าร้อง” หลิ่วหมิงถอนหายใจแล้วถามด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
“ฮึ! ในเมื่อข้าให้เจ้าเลือกวิชานี้ ข้าย่อมมีเหตุผลของข้า”
หลัวโหวได้ยินก็แค่ตอบกลับอย่างราบเรียบไปหนึ่งประโยค จากนั้นก็สะบัดแขนสื้อด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก ดวงตามายาปีศาจบนศิลาหุนเทียนเปล่งแสงออกมา
หลิ่วหมิงรู้สึกแค่ว่าทิวทัศน์รอบด้านพร่ามัว จากนั้นตัวเขาก็มาอยู่ในสถานที่รกร้างว่างเปล่าแห่งหนึ่ง มีเมฆดำปกคลุมอยู่บนอากาศ สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่งราวกับอสรพิษสีเงิน
“เปรี้ยง!”
สายฟ้าขนาดเท่าปากถ้วยฟันมายังตำแหน่งที่หลิ่วหมิงยืนอยู่
“สายฟ้าสวรรค์?”
หลิ่วหมิงได้แต่บิดตัวด้วยความตกใจ แต่ไหล่ของเขายังคงถูกสายฟ้าสวรรค์ดังนั่นโจมตีอย่างรวดเร็ว
ร่างของเขาเซไปทีหนึ่ง บนไหล่มีแผลไหม้เกรียมยาวหลายชุ่นปรากฏออกมา สายฟ้าสีเงินแต่ละเส้นส่งเสียงดัง “เปรี๊ยะๆ!” บนผิวของเขา กลิ่นไหม้เกรียมโชยออกจากตัวทันที
………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา