ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 65

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 65 ถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณ
ตอนที่ 65 ถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณ
โดย
Ink Stone_Fantasy
พอหลิ่วหมิงเห็นลูกกระดูกกลมๆ ลางเลือนที่มีพื้นผิวเป็นกระดูกอันแหลมคมแล้วในใจก็รู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาทันที เขาทำท่ามือด้วยมือเดียว แสงสีเขียวเป็นจุดๆ ออกจากนิ้วของเขา แล้วสะบัดข้อมืออีกข้าง ห่วงเขี้ยวพยัคฆ์ก็ร้องเสียงดังพร้อมกับโผล่หัวพยัคฆ์สีเหลืองออกมา

เขายังไม่ทันจะลงมือโจมตี ก็มีเสียง “ซู่!” ดังมาจากด้านหลัง เส้นสีแดงยาวฉื่อกว่าๆ พุ่งออกไปก่อนแล้วพันอยู่บนกระดูกลูกกลมๆ นั้นพอดี

เสียงดัง “ตู้ม!”

เส้นสีแดงระเบิดออกมา แล้วกลายเป็นเปลวแสงสีแดงปกคลุมกระดูกลูกกลมๆ ไว้

กระดูกลูกกลมๆ ที่หมุนกลิ้งอยู่หยุดชะงักในทันที และส่งเสียงคำรามอย่างเจ็บปวดสุดขีด เมื่อเปลวแสงกะพริบหายไปก็คืนร่างอย่างเลือนลางแล้วกลับเป็นโครงกระดูกมนุษย์ดังเดิม

บนร่างศพกระดูกมีบาดแผลเต็มไปหมด เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่นั้นมันได้รับความเจ็บปวดเป็นอย่างมาก

ขณะนี้ เปลวไฟในเบ้าตาทั้งสองของมันมองมาทางหลิ่วหมิงอย่างดุร้าย แต่ดูเหมือนว่ายังพะวงกับอะไรบางอย่างอยู่ ระยะห่างใกล้แค่นี้ก็ยังไม่ได้กระโจนเข้ามาในทันที

ตาของหลิ่วหมิงค่อยๆ เป็นประกายขึ้นมารีบหันหน้ากลับไปดูอย่างรวดเร็ว

เขาเจียหลานกำลังถือธนูยาวสีเขียวอ่อนอยู่ด้วยสีหน้าที่เยือกเย็น บนนั้นมีลูกธนูสีแดงกางพร้อมที่จะยิงอยู่หนึ่งดอก ตอนนี้รูเลือดบนบ่านางได้สมานกันสนิทแล้วเหลือไว้แค่เส้นสีแดงจางๆ

“ศิษย์น้องไป๋อย่างวอกแวก สติปัญญาของศพกระดูกตนนี้สูงมาก ทั้งยังเล่ห์เหลี่ยมเยอะกว่าปีศาจระดับขุนพลทั่วไป แต่ถ้าหากเราสองคนร่วมมือกันล่ะก็ยังพอจะรับมือกับมันได้บ้าง” พอดรุณีน้อยใบหน้างดงามเห็นหลิ่วหมิงเบนความสนใจมามองนาง นางก็กล่าวเตือน

“พอจะรับมือได้บ้าง! ปีศาจรร้ายกาจระดับนี้ หรือว่าศิษย์พี่ไม่คิดที่จะทำให้มันศิโรราบ?” หลิ่วหมิงได้ยินดังนั้นก็หันหน้ากลับไปทางศพกระดูกอีกครั้ง แต่ถึงกระนั้นก็ยังถามออกไปด้วยความรู้สึกแปลกใจ

“ปีศาจร่างมนุษย์ที่มีพรสวรรค์อัจฉริยะขนาดนี้ ถึงแม้จะร้ายกาจเป็นอย่างมากแต่มันต่างกับปีศาจอื่นๆ ที่เกิดจากปราณหยินเป็นอย่างมาก แค่ใช้วิชาสื่อสารจิตวิญญาณสั่นสะเทือนสยบไม่สามารถทำให้มันศิโรราบได้ นอกจากว่าจะมีพลังที่เหนือกว่าพวกมันมาก มิเช่นนั้นต่อให้เจ้าปราบมันได้ก็ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น และอาจจะแว้งกลับมากัดได้ในภายหลัง อาจารย์อาในนิกายของเรามีไม่น้อยที่ที่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ศิษย์อย่างพวกเราก็อย่าหวังที่จะสยบมันได้เลย” พอเจียหลานได้ยิน ก็กล่าวออกมาเรียบๆ

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นคงทำได้แค่ฆ่ามันทิ้งซะ” หลิ่วหมิงฟังคำพูดนี้แล้วก็รู้สึกเสียดายขึ้นมา

“ฆ่าทิ้ง?” ถึงแม้เจียหลานผู้นี้จะดูมีท่าทีที่สงบ แต่เมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็รู้สึกตะลึงอย่างอดไม่ได้

กระดูกขาวตรงหน้าก็ดูเหมือนจะฟังคำพูดของหลิ่วหมิงออก พอมันฟังจบก็โมโหจนเปลวไฟสีแดงในเบ้าตาคุโชนขึ้นมา มือทั้งสองดึงกระดูกแหลมคมบนตัวออกมาสองชิ้น หลังจากที่มันตวัดไปมาก็กลายเป็นหอกกระดูกยาวจั้งกว่าๆ สองอันแล้วก้าวเท้ายาวๆ พุ่งเข้ามา

ดรุณีน้อยใบหน้างดงามหดม่านตาลง ยิงลูกธนูพุ่งออกไปในทันที

เสียงดัง “ตู้ม!”

ภายใต้เปลวแสงอันโชติช่วง ศพกระดูกที่เดิมทีพุ่งมายังด้านหน้าของหลิ่วหมิงถูกโจมตีจนถอยไปจั้งกว่าๆ

แต่ปีศาจตนนี้ดูเหมือนจะโดนกระตุ้นจนดูดุร้ายสุดขีด ไม่สนใจบาดแผลมากมายที่เพิ่มขึ้นมาบนร่าง มันเขวี้ยงหอกกระดูกสองอันออกไปอย่างรุนแรง หลังจากที่คำรามเสียงดังออกมา มันก็กระโจนเข้ามาอย่างโหดเหี้ยม

เสียงดัง “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” คมวายุสองเส้นพุ่งออกไปภายในพริบตา ปะทะเข้ากับหอกกระดูกที่พุ่งเข้ามาพอดี ทำให้พวกมันเบนทิศทางผ่านร่างทั้งสองข้างของเขาไป

เจียหลานที่อยู่ด้านหลังสีหน้าหม่นลง หลังจากที่มือทั้งสองเคลื่อนไหวอย่างพร่ามัว ธนูคันยาวก็ยิงลูกธนูออกไปหนึ่งดอกอย่างรวดเร็ว

เกิดเสียงดังขึ้นเช่นเดิม แต่ครั้งนี้ร่างของศพกระดูกแค่สั่นไหวเล็กน้อยก็ต้านแรงระเบิดของเปลวแสงออกมาได้

หลิ่วหมิงเขม้นตามอง ก็เห็นอย่างชัดเจนว่าหน้าลำตัวของศพกระดูกมีแผ่นกระดูกไม่ทราบชื่อขนาดใหญ่ที่ไม่รู้ว่าโผล่มาตอนไหน และมันถือแผ่นกระดูกนั้นราวกับเป็นโล่กำบังพุ่งเข้ามา มันแค่ก้าวไม่กี่ก้าวก็จู่โจมมาถึงด้านหน้าของหลิ่วหมิงพร้อมกับกลิ่นเหม็นคาวที่ม้วนตัวออกมา

“ศิษย์น้อง รีบถอยไปเร็ว!” เจียหลานเห็นเช่นนี้ สีหน้าก็หม่นลง นางตะโกนเสียงต่ำออกไป ขณะเดียวกันก็สะบัดแขนเสื้อ ธนูยาวในมือก็หายไป แต่กลับมียันต์สีเงินผืนหนึ่งโผล่ออกมาแล้วเตรียมปล่อยพุ่งออกไปในทันที

แต่ที่ทำให้เขาตกตะลึงก็คือหลิ่วหมิงทำเหมือนกับไม่ได้ยินที่เขาพูด ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ยอมหลบหลีก เขายกแขนขึ้น หัวพยัคฆ์อ้าปากโผล่ออกมาจากห่วงเขี้ยวพยัคฆ์ คลื่นเสียงสีขาวโพลนม้วนตัวพุ่งไปยังหัวของศพกระดูก

ศพกระดูกก็แค่เอียงหัว ก็หลบการโจมตีของคลื่นเสียงจากห่วงเขี้ยวพยัคฆ์ได้ หลังจากที่เปลวไฟสีเลือดในเบ้าตามันคุโชน มือใหญ่ทั้งสองก็โอบกอดมายังหลิ่วหมิงอย่างโหดเหี้ยม

รอบตัวปีศาจตนนี้เต็มไปด้วยกระดูกแหลมคมแลดูโหดร้าย ถ้าถูกมันโอบกอดเข้าต่อให้เป็นอาจารย์จิตวิญญาณก็ยังต้องร้องขอชีวิต

ตอนนี้สีหน้าของดรุณีน้อยเปลี่ยนไปอย่างมาก คิดที่จะหยิบจับอะไรออกมาช่วยก็ไม่ทันแล้ว

เสียงดัง “ซู่!” “ซู่!”

พลันก็ปรากฏก้ามยักษ์สีดำสองข้างโผล่ออกมาจากพื้นทรายใต้ร่างศพกระดูกอย่างรวดเร็ว แล้วหนีบข้อเท้าสีขาวทั้งสองไว้แน่น ถึงแม้จะไม่ได้ตัดมันออกเป็นสองท่อน แต่ก็ทำให้ศพกระดูกที่กำลังพุ่งเข้ามาหยุดชะงักในทันที และเกือบจะล้มลงไปบนพื้น

ภายใต้สถานการณ์ที่น่าตกใจเช่นนี้ มันรีบใช้มือข้างหนึ่งดึงกระดูกแหลมสีดำตรงหน้าอกออกมาแทงไปยังก้ามยักษ์อันหนึ่งอย่างรวดเร็ว

แต่ในขณะนั้นเอง ก็มีเสียง “ซู่!” ดังขึ้น

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา