เจียหลานเห็นดังนี้ก็เผยรอยยิ้มบนใบหน้าออกมา หลังจากที่คุยกับหลิ่วหมิงอีกไม่กี่ประโยคก็กล่าวลาแล้วจากไป
ผ่านไปชั่วครู่ ดรุณีน้อยใบหน้างดงามก็ขี่เมฆทะยานขึ้นฟ้าเหาะไปยังทิศทางที่อยู่ไกลออกไป
หลิ่วหมิงมองดูจนร่างของดรุณีน้อยหายลับไปแล้ว ถึงก้มหน้ามองดูถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณบนมือ เผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมา
ดรุณีน้อยนางนี้มอบสิ่งของที่ล้ำค่าเช่นนี้ให้เขา ถึงแม้จะอยากตอบแทนคุณที่ช่วยชีวิต แต่ความใจกว้างนี้ช่างเหลือชื่อจริงๆ
ถึงแม้ถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณนี้จะเทียบไม่ได้กับอาวุธจิตวิญญาณที่แท้จริง ในนิกายปีศาจเองก็เกรงว่าจะมีแค่อาจารย์จิตวิญญาณที่สามารถมีถุงแบบนี้ได้ ศิษย์จิตวิญญาณทั่วไปคงมีไม่กี่คนที่มีของสิ่งนี้
แต่เจียหลานผู้นี้กลับมีถึงสองใบ ดูท่าเบื้องหลังของนางคงไม่ธรรมดาอย่างที่เห็น ถึงแม้ร่างละเมอฝันจะมีน้อย นิกายปีศาจมอบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณให้นางใบหนึ่งก็นับว่าพิเศษมากแล้ว ถ้าสองใบล่ะก็คิดๆ ดูแล้วก็ยังเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
แต่ด้วยเหตุนี้ นางไม่เพียงแต่จะลบล้างบุญคุณที่เขาช่วยชีวิตไว้ แต่เขาเองกลับเหมือนจะติดค้างน้ำใจฝ่ายตรงข้ามด้วย ก็ไม่รู้ว่านางตั้งใจให้เป็นแบบนี้หรือว่าทำตามใจชอบเท่านั้น
หลิ่วหมิงคิดแบบนี้อยู่ในใจ แต่พอสังเกตดูถุงบนมือแล้วก็ปรากฏรอยยิ้มออกมาบนใบหน้า
ถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณนี้เป็นของล้ำค่าที่เกือบจะเทียบเท่าอาวุธจิตวิญญาณ ย่อมให้ประโยชน์ที่คาดไม่ถึง
หนึ่งในนั้นคือ ไม่ว่าปีศาจจะมีขนาดใหญ่เล็กหรือหนักเบาแค่ไหนก็สามารถย่อมันให้เล็กลง แล้วใส่ลงไปในถุงพกติดตัวได้อย่างง่ายดาย
ประโยชน์อีกอย่างคือ แค่กระตุ้นค่ายกลอักขระพิเศษที่จารึกในถุงก็สามารถดูดปราณหยินได้จำนวนมากภายในครั้งเดียว แล้วมาสะสมไว้ในนั้น ทำให้ปีศาจที่อยู่ข้างไหนไม่ต้องขาดแคลนปราณหยินจนพลังถดถอย
ประโยชน์ทั้งสองอย่างนี้เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ประโยชน์อย่างหลังหาได้ยากยิ่งกว่า
ลำพังแค่ประโยชน์อย่างแรกล่ะก็ ในนิกายปีศาจยังมีอาวุธอาญาสิทธิ์ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ‘ถุงปีศาจ’ ซึ่งสามารถเก็บปีศาจไว้ในนั้นเพื่อพกติดตัวได้เช่นกัน
ศิษย์ที่ใช้ปีศาจเหล่านั้น ส่วนมากก็ซื้ออาวุธอาญาสิทธิ์เช่นนี้มาใส่ปีศาจ
แต่ถุงปีศาจนี้ไม่มีพลังในการดูดปราณหยิน และยังมีเวลาใช้ที่แน่นอนในช่วงระยะเวลาหนึ่ง และถุงแต่ละใบยังรองรับขนาดของปีศาจได้แตกต่างกัน ราคาก็ต่างกันราวฟ้ากับดิน
หลิ่วหมิงเองก็คิดไว้ว่าเมื่อจับปีศาจได้แล้ว กลับไปค่อยใช้หินจิตวิญญาณจำนวนมากเพื่อซื้อถุงปีศาจสักใบ ตอนนี้ดูท่าจะไม่จำเป็นแล้ว
เขาคิดอยู่ในใจ ใช้มือตรวจสอบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณในมือรอบหนึ่งแล้ววางลงบนพื้นทันที ทำท่ามือด้วยมือเดียว แล้วยื่นมือไปที่มัน
อักขระสีขาวลอยออกมาแล้วกะพริบหายเข้าไปในถุงหนัง
ครู่ต่อมา ผิวภายนอกของถุงหนังก็มีอักขระสีเงินโผล่ออกมา และรวมตัวกันเป็นค่ายกลอักขระแปลกประหลาดเล็กๆ ในขณะเดียวกัน พลังดึงดูดก็ม้วนตัวออกมาจากปากถุง
ปราณหยินบริเวณนั้นสั่นสะเทือนขึ้นมา แล้วก็ถูกดูดเข้าไปในถุงหนังอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกันก็มีเสียงกระหึ่มดังมาจากอากาศบริเวณนั้น ไอสีดำปรากฏออกมาเป็นสาย และยิ่งปรากฏมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับปราณหยินในรัศมีหลายลี้ต่างก็ทะลักมาที่นี่
หลิ่วหมิงค่อยๆ ยิ้มออกมาแล้วถอยหลังไปสองสามก้าว เพื่อให้ถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณนี้ดูดเอาปราณหยินจากทั่วทุกทิศได้อย่างเต็มที่
ตอนนี้แมงป่องกระดูกขาวกลืนกินกระดูกแขนของศพกระดูกชิ้นสุดท้ายที่เหลืออยู่ จากนั้นก็ใช้ก้ามของมันหนีบกระดูกแต่ละชิ้นไปวางไว้ด้านข้างหลิ่วหมิงราวกับสุนัขตัวน้อยๆ จนซ้อนกันเป็นกองขนาดใหญ่
หลิ่วหมิงปล่อยลูกเปลวไฟออกไปหนึ่งลูก เปลวเพลิงที่คุโชนก็โอบล้อมกระดูกกองนี้ไว้ ครู่เดียวกระดูกส่วนมากก็กลายเป็นขี้เถ้า เหลือแค่กระดูกที่เปล่งประกายแวววาวแค่ยี่สิบกว่าชิ้น
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจมาก ศพกระดูกนี้สมกับเป็นปีศาจระดับขุนพล กระดูกที่สามารถใช้ได้มีมากถึงเพียงนี้ ถ้าเป็นเช่นล่ะก็สิ่งของที่แมงป่องกระดูกขาวจำเป็นต้องใช้ในการฟื้นฟูร่างกายก็ได้ครบแล้ว
เขาเก็บกระดูกทั้งหมดเหล่านี้ แล้วนั่งขัดสมาธิหลับตาลงเพื่อพักผ่อน
ครึ่งวันผ่านไป เมื่อมีเสียงดังมาจากถุงหนัง ค่ายกลอักขระสีเงินบนผิวภายนอกถุงหนังก็กะพริบหายไป ปราณหยินที่ปรากฏอยู่แถวนั้นก็ค่อยๆ กระจายหายไป
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ใช้มือข้างหนึ่งคว้าออกไป แล้วดูดถุงหนังลอยผ่านอากาศมาตกอยู่บนมือ
ใช้มือชั่งดูแล้วน้ำหนักถุงไม่มีการเปลี่ยนแปลง เพียงแค่สีของถุงหนังดูเหมือนจะดำกว่าเดิมเล็กน้อย
หลิ่วหมิงไม่ลังเลอะไรอีกแล้ว เขาให้จิตสื่อสารกับแมงป่องกระดูกขาวแล้วยกถุงหนังส่ายไปหามัน
เสียงดัง “ซู่!”
แสงสีดำพุ่งออกมาจากปากถุง พริบตาเดียวมันก็ม้วนตัวเพื่อนำแมงป่องกระดูกขาวเข้าไปอยู่ในนั้น
จากนั้นร่างแมงป่องกระดูกขาวก็หมุนติ้วๆ ลดขนาดลงอย่างรวดเร็ว และถูกแสงสีดำดูดเข้าไปในถุงหนัง
หลิ่วหมิงสื่อสารกับปีศาจตนนี้อยู่ครู่หนึ่งแล้วเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติ ก็นำถุงหนังมาติดไว้ที่เอวอย่างสบายใจ เขาทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่งและใช้วิชาทะยานฟ้าเหาะกลับไปยังฐานที่มั่นของนิกายปีศาจ
ในขณะเดียวกัน เจียหลานที่ขี่เมฆอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง พลันหูของนางได้ยินเสียงที่ส่งมา นางเปลี่ยนทิศเหาะด้วยความดีใจ แล้วเหาะลงไปยังผืนป่าแห่งหนึ่ง
ผ่านไปสักครู่ นางก็มาปรากฏกายอยู่ที่โพรงไม้แห่งหนึ่ง ด้านหน้ามีหญิงงามสีหน้าซีดขาวนั่งขัดสมาธิอยู่ นางก็คืออาจารย์อาปิงนั่นเอง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา