“หรือว่าเป็น…”
พลันปรากฏความคิดหนึ่งแวบขึ้นมาในสมอง หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเข้าหากันขณะที่เดินไปดึงซองจดหมายด้านหน้าออกมา หลังจากใช้จิตกวาดดูแล้วไม่พบความผิดปกติอันใดก็ดึงจดหมายในนั้นออกมา เขาดูแค่ครู่เดียว สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนสีขึ้นมา
“ที่แท้พวกเขาทั้งสองมาหาข้า ไม่ใช่บอกว่ากลับไปแล้วจะหนีไปไกลๆ หรอกหรือ หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่ตระกูลไป๋!” หลิ่วหมิงคิดวกไปมาอย่างรวดเร็ว ฝ่ามือทั้งสองถูเข้าด้วยกัน พลันเปลวไฟสีแดงกลุ่มหนึ่งก็ลุกพรึ่บขึ้นมาเผาจดหมายมอดไหม้เป็นขี้เถ้าในพริบตา
เขาทะยานขึ้นฟ้าเหาะตรงไปยังนอกประตูนิกายปีศาจ
ผ่านไปสักครู่ หลิ่วหมิงเหาะลงตรงสิ่งก่อสร้างกลุ่มหนึ่งบริเวณเทือกเขา และเข้าไปห้องโถงภายในหอแห่งหนึ่ง เห็นทั้งสองที่เขาเคยรู้จักรออยู่ที่นี่มาสิบกว่าวันแล้ว
ชายเสื้อเหลืองสูงต่ำสองคนก็คือเจ้ากวนกับเจ้ากู่ที่มาจากตระกูลไป๋นั่นเอง
พอทั้งสองเห็นหลิ่วหมิงเข้ามาก็ตกใจ รีบลุกขึ้นยืน เจ้ากวนถามด้วยความลังเล
“ท่านคือนายน้อย?”
“ไม่เจอกันแค่ปีเดียว ท่านทั้งสองก็จำข้าไม่ได้แล้วหรือ?” หลิ่วกลับเดินเข้าไปพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ และนั่งลงไปบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง
“ที่แท้ก็คือนายน้อยจริงๆ วิเศษไปเลย ตอนนี้รูปร่างของนายน้อยเปลี่ยนไปจากเดิมมาก คิดว่านายท่านเห็นแล้วคงตกใจน่าดู” เจ้ากวนเห็นเช่นนี้สีหน้าตื่นตะลึงก็หายไป รีบก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวกล่าวอย่างนอบน้อม
เจ้ากู่ก็ก้าวไปข้างหน้าทำความเคารพ แต่สีหน้าดูสับสนปนเป
ตอนที่ทั้งสองส่งหลิ่วหมิงมานิกายปีศาจ ไม่คิดว่าเด็กหนุ่มตรงด้านหน้าจะผ่านพิธีเปิดจิตวิญญาณได้สำเร็จจนกลายเป็นศิษย์จิตวิญญาณของนิกายได้จริงๆ
ตอนนี้ได้พบกันอีกครั้ง สถานะของทั้งสามย่อมแตกต่างกันเป็นอย่างมาก
“ตอนนี้ลักษณะใบหน้าของข้าเปลี่ยนเป็นเพราะการฝึกฝน แต่พวกเจ้าสองคนทำไมถึงมาที่นี่ล่ะ หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับตระกูลไป๋?” หลิ่วหมิงอธิบายไปสองประโยคแล้วจึงถามออกไปอย่างไม่รีบร้อน
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! ตั้งแต่นายท่านทราบว่านายน้อยกลายเป็นศิษย์จิตวิญญาณของนิกายปีศาจได้ ตระกูลไป๋ทั้งตระกูลก็จัดโต๊ะเลี้ยงฉลองกันสามวันสามคืน แม้กระทั่งเมื่อไม่นานมานี้คุณหนูใหญ่ก็รีบกลับมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ นอกจากนี้ที่พวกข้าทั้งสองมาถึงนี่ เพราะได้รับคำสั่งจากนายท่านให้มาส่งจดหมายลับให้นายน้อย” เจ้ากู่กล่าวไปด้วยแล้วก็หยิบจดหมายสีดำที่ปิดผนึกอย่างดีออกมา แล้วประคองยื่นให้ด้วยมือทั้งสอง
“คุณหนูใหญ่! อ๋อ! พวกเจ้าหมายถึงพี่สาวคนโตของข้าไป๋เยียนเอ๋อร์สินะ! เอาอย่างนี้ดีกว่า ตามข้ามาก่อน พวกเราหาสถานที่เหมาะสมก่อนแล้วค่อยคุยกัน” หลังจากหลิ่วหมิงได้ยินแล้วก็กวาดสายตามองไปรอบด้าน และไม่รีบแกะจดหมายออกในทันทีแต่กลับกล่าวเช่นนี้ออกมา
เจ้ากวนเจ้ากู่ทั้งสองย่อมไม่มีข้อขัดแย้งใดๆ ได้แต่กล่าวตอบรับออกมา
หลิ่วหมิงพาทั้งสองเดินออกจากหอแล้ว ทำท่ามือด้วยมือเดียว เมฆเทาเกาะตัวกันด้านหน้าของเขาทันที หลังจากที่เรียกทั้งสองขึ้นมาแล้วก็กระตุ้นวิชาทะยานเวหาเหาะไปยังบนเขาเล็กๆ ลับตาคนที่อยู่ไกลออกไป
เวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชา หลิ่วหมิงพาเจ้ากวนและเจ้ากู่ร่อนลงบนยอดเขาหัวโล้น
เมื่อเท้าทั้งสองแตะพื้นก็ขาอ่อนจนเกือบจะล้มลงบนพื้น
และสายตาทั้งสองที่มองดูหลิ่วหมิงนั้น เต็มไปด้วยความเกรงกลัวและยำเกรง
“เอาล่ะ ที่นี่โล่งแจ้ง คงไม่ค่อยมีคนอื่นได้ยินคำพูดเราแล้ว ตอนนี้พูดมาได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ถ้าข้าจำไม่ผิดตอนแรกพวกเจ้าบอกว่าพอกลับถึงตระกูลไป๋ ก็จะรีบไปให้ไกลจากตระกูลไป๋มิใช่หรอกหรือ? ทำไมยังมาส่งจดหมายให้นายท่านตระกูลไป๋ได้?” หลิ่วหมิงตบหมายในมือเบาๆ แล้วกล่าวอย่างสุขุมเยือกเย็นมาก
“น้องหลิ่วช่วยพวกข้าด้วย เรื่องที่พวกข้าทั้งสองทำทั้งหมดถูกคุณหนูใหญ่รู้เข้าแล้ว ทั้งยังถูกคุณหนูใหญ่ฝังข้อจำกัดบางอย่างไว้ในตัวพวกข้า ตอนนี้ชีวิตของพวกข้าแขวนอยู่บนเส้นด้ายแล้ว
“ใช่แล้ว นอกจากจดหมายนี้แล้วคุณหนูใหญ่ยังให้พวกเรานำสิ่งของอย่างหนึ่งมาให้น้องหลิ่วด้วย นางบอกว่าน้องหลิ่วดูแล้วก็จะรู้เอง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา