ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 67

สรุปบท ตอนที่ 67: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

อ่านสรุป ตอนที่ 67 จาก ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet

บทที่ ตอนที่ 67 คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 67 ถูกเปิดเผย
ตอนที่ 67 ถูกเปิดเผย
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ตกตะลึงเล็กน้อย อย่างที่รู้ๆ กัน ถ้าหากนิกายมีเรื่องสำคัญอะไรที่ต้องแจ้งล่ะก็ ย่อมให้ศิษย์มาส่งจดหมายด้วยตัวเอง แต่กลับมีจดหมายปรากฏอยู่ที่นี่ได้ ช่างน่าแปลกใจเสียจริง

“หรือว่าเป็น…”

พลันปรากฏความคิดหนึ่งแวบขึ้นมาในสมอง หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเข้าหากันขณะที่เดินไปดึงซองจดหมายด้านหน้าออกมา หลังจากใช้จิตกวาดดูแล้วไม่พบความผิดปกติอันใดก็ดึงจดหมายในนั้นออกมา เขาดูแค่ครู่เดียว สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนสีขึ้นมา

“ที่แท้พวกเขาทั้งสองมาหาข้า ไม่ใช่บอกว่ากลับไปแล้วจะหนีไปไกลๆ หรอกหรือ หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่ตระกูลไป๋!” หลิ่วหมิงคิดวกไปมาอย่างรวดเร็ว ฝ่ามือทั้งสองถูเข้าด้วยกัน พลันเปลวไฟสีแดงกลุ่มหนึ่งก็ลุกพรึ่บขึ้นมาเผาจดหมายมอดไหม้เป็นขี้เถ้าในพริบตา

เขาทะยานขึ้นฟ้าเหาะตรงไปยังนอกประตูนิกายปีศาจ

ผ่านไปสักครู่ หลิ่วหมิงเหาะลงตรงสิ่งก่อสร้างกลุ่มหนึ่งบริเวณเทือกเขา และเข้าไปห้องโถงภายในหอแห่งหนึ่ง เห็นทั้งสองที่เขาเคยรู้จักรออยู่ที่นี่มาสิบกว่าวันแล้ว

ชายเสื้อเหลืองสูงต่ำสองคนก็คือเจ้ากวนกับเจ้ากู่ที่มาจากตระกูลไป๋นั่นเอง

พอทั้งสองเห็นหลิ่วหมิงเข้ามาก็ตกใจ รีบลุกขึ้นยืน เจ้ากวนถามด้วยความลังเล

“ท่านคือนายน้อย?”

“ไม่เจอกันแค่ปีเดียว ท่านทั้งสองก็จำข้าไม่ได้แล้วหรือ?” หลิ่วกลับเดินเข้าไปพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ และนั่งลงไปบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง

“ที่แท้ก็คือนายน้อยจริงๆ วิเศษไปเลย ตอนนี้รูปร่างของนายน้อยเปลี่ยนไปจากเดิมมาก คิดว่านายท่านเห็นแล้วคงตกใจน่าดู” เจ้ากวนเห็นเช่นนี้สีหน้าตื่นตะลึงก็หายไป รีบก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวกล่าวอย่างนอบน้อม

เจ้ากู่ก็ก้าวไปข้างหน้าทำความเคารพ แต่สีหน้าดูสับสนปนเป

ตอนที่ทั้งสองส่งหลิ่วหมิงมานิกายปีศาจ ไม่คิดว่าเด็กหนุ่มตรงด้านหน้าจะผ่านพิธีเปิดจิตวิญญาณได้สำเร็จจนกลายเป็นศิษย์จิตวิญญาณของนิกายได้จริงๆ

ตอนนี้ได้พบกันอีกครั้ง สถานะของทั้งสามย่อมแตกต่างกันเป็นอย่างมาก

“ตอนนี้ลักษณะใบหน้าของข้าเปลี่ยนเป็นเพราะการฝึกฝน แต่พวกเจ้าสองคนทำไมถึงมาที่นี่ล่ะ หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับตระกูลไป๋?” หลิ่วหมิงอธิบายไปสองประโยคแล้วจึงถามออกไปอย่างไม่รีบร้อน

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! ตั้งแต่นายท่านทราบว่านายน้อยกลายเป็นศิษย์จิตวิญญาณของนิกายปีศาจได้ ตระกูลไป๋ทั้งตระกูลก็จัดโต๊ะเลี้ยงฉลองกันสามวันสามคืน แม้กระทั่งเมื่อไม่นานมานี้คุณหนูใหญ่ก็รีบกลับมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ นอกจากนี้ที่พวกข้าทั้งสองมาถึงนี่ เพราะได้รับคำสั่งจากนายท่านให้มาส่งจดหมายลับให้นายน้อย” เจ้ากู่กล่าวไปด้วยแล้วก็หยิบจดหมายสีดำที่ปิดผนึกอย่างดีออกมา แล้วประคองยื่นให้ด้วยมือทั้งสอง

“คุณหนูใหญ่! อ๋อ! พวกเจ้าหมายถึงพี่สาวคนโตของข้าไป๋เยียนเอ๋อร์สินะ! เอาอย่างนี้ดีกว่า ตามข้ามาก่อน พวกเราหาสถานที่เหมาะสมก่อนแล้วค่อยคุยกัน” หลังจากหลิ่วหมิงได้ยินแล้วก็กวาดสายตามองไปรอบด้าน และไม่รีบแกะจดหมายออกในทันทีแต่กลับกล่าวเช่นนี้ออกมา

เจ้ากวนเจ้ากู่ทั้งสองย่อมไม่มีข้อขัดแย้งใดๆ ได้แต่กล่าวตอบรับออกมา

หลิ่วหมิงพาทั้งสองเดินออกจากหอแล้ว ทำท่ามือด้วยมือเดียว เมฆเทาเกาะตัวกันด้านหน้าของเขาทันที หลังจากที่เรียกทั้งสองขึ้นมาแล้วก็กระตุ้นวิชาทะยานเวหาเหาะไปยังบนเขาเล็กๆ ลับตาคนที่อยู่ไกลออกไป

เวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชา หลิ่วหมิงพาเจ้ากวนและเจ้ากู่ร่อนลงบนยอดเขาหัวโล้น

เมื่อเท้าทั้งสองแตะพื้นก็ขาอ่อนจนเกือบจะล้มลงบนพื้น

และสายตาทั้งสองที่มองดูหลิ่วหมิงนั้น เต็มไปด้วยความเกรงกลัวและยำเกรง

“เอาล่ะ ที่นี่โล่งแจ้ง คงไม่ค่อยมีคนอื่นได้ยินคำพูดเราแล้ว ตอนนี้พูดมาได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ถ้าข้าจำไม่ผิดตอนแรกพวกเจ้าบอกว่าพอกลับถึงตระกูลไป๋ ก็จะรีบไปให้ไกลจากตระกูลไป๋มิใช่หรอกหรือ? ทำไมยังมาส่งจดหมายให้นายท่านตระกูลไป๋ได้?” หลิ่วหมิงตบหมายในมือเบาๆ แล้วกล่าวอย่างสุขุมเยือกเย็นมาก

“น้องหลิ่วช่วยพวกข้าด้วย เรื่องที่พวกข้าทั้งสองทำทั้งหมดถูกคุณหนูใหญ่รู้เข้าแล้ว ทั้งยังถูกคุณหนูใหญ่ฝังข้อจำกัดบางอย่างไว้ในตัวพวกข้า ตอนนี้ชีวิตของพวกข้าแขวนอยู่บนเส้นด้ายแล้ว

“ใช่แล้ว นอกจากจดหมายนี้แล้วคุณหนูใหญ่ยังให้พวกเรานำสิ่งของอย่างหนึ่งมาให้น้องหลิ่วด้วย นางบอกว่าน้องหลิ่วดูแล้วก็จะรู้เอง”

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ได้แต่ลูบคางไปมาอยู่ครู่หนึ่ง มีความลังเลปรากฏขึ้นบนใบหน้าเขา

“น้องหลิ่ว…ไม่สิ…คุณชายหลิ่ว พวกข้าทั้งสองยอมให้ท่านเป็นนาย ต่อนี้ไปจะจงรักภักดีต่อท่านแต่เพียงผู้เดียว”

“นายท่านต่อไปถ้ามีเรื่องอะไรจะใช้ ข้าเจ้าสามจะไม่บอกปัดอย่างเด็ดขาด และจะพยายามทำให้สำเร็จ”

เจ้ากวนได้ยินไป๋เยียนเอ๋อร์บอกว่าไม่ได้ฝังข้อจำกัดอะไรลงบนร่างกายของพวกเขาจริงๆ ก็รู้สึกดีใจมาก แต่ต่อมาได้ยินว่าให้หลิ่วหมิงส่งพวกเขา “ไปตาย” ก็รู้สึกตกใจจนขวัญกระเจิงทันที ทั้งสองสบตากันสักครู่โดยไม่ต้องกล่าวอะไรออกมาและคุกเข่าลงพื้นอีกครั้ง แล้วรีบแหงนหน้ากล่าวคำสาบานต่อฟ้า

เห็นได้ชัดว่าทั้งสองกลัวหลิ่วหมิงจะทำตามที่ไปเยียนเอ๋อร์บอกให้ปลิดชีวิตพวกเขาทิ้ง

“ท่านทั้งสองลุกขึ้นมาเถอะ ข้าจะเอาชีวิตของพวกท่านอย่างไร้เหตุผลได้อย่างไร ไม่ว่าอย่างไรก็ตามถ้าตอนนั้นไม่พบเจอกับพวกท่านเข้า ข้าคงไม่มีวาสนาได้เป็นศิษย์จิตวิญญาณ แต่เพื่อป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้นข้าก็ไม่อาจปล่อยให้พวกเจ้าจากไปได้” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วกล่าวออกมา

“ขอแค่คุณชายสบายใจ มีวิธีการอะไรก็รีบแสดงออกมาเถอะ ข้าทั้งสองจะไม่กล่าวแค้นแม้แต่คำเดียว!” เจ้ากวนได้ยินคำพูดนี้ก็รีบกล่าวออกมาโดยไม่คิดก่อน

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะใช้วิธีการเล็กน้อยแล้วล่ะ” หลิ่วหมิงได้ยินก็ผงกศีรษะ พลิกนิ้วขึ้นมา พลันเข็มเงินแหลมเล็กก็ปรากฏขึ้นมา มันลางเลือนกลายเป็นเส้นสีเงินแทงไปยังตัวพวกเขาทั้งสอง

เจ้ากวนกับเจ้ากู่ย่อมไม่กล้าหลบหลีก รู้สึกแค่ว่าร่างกายชาเกือบจะพร้อมกัน แล้วก็ไม่รู้ว่าถูกเข็มเงินแทงไปกี่ครั้งแล้ว

หลิ่วหมิงหดแขนลง เข็มเงินก็หายไปทันที ทั้งยังกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม

“เอาล่ะ วิชาที่ใช้เข็มเงินแทงชีพจรชุดนี้ จะซุ่มซ่อนอยู่ในร่างพวกเจ้าไปหลายปี ในระหว่างนี้พวกเจ้าไปช่วยข้าทำเรื่องบางอย่างที่สถานที่บางแห่ง ถ้าทำได้ดีข้าจะช่วยพวกเจ้าแก้วิชานี้ ทั้งยังจะช่วยพาครอบครัวของพวกเจ้าออกมาจากตระกูลไป๋ จากนั้นพวกเจ้าทั้งสองอยากไปที่ไหนข้าก็จะไม่ห้ามเลยแม้แต่น้อย”

……………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา