“วางใจเถอะ ข้าไม่ให้พวกเจ้าทำเรื่องที่พวกเจ้าทำไม่ได้หรอก เพียงแค่ไปสถานที่ไม่แห่งในโลกมนุษย์สร้างอิทธิพลเล็กๆ ที่สามารถขับเคลื่อนได้ ขณะเดียวกันให้ช่วยสืบและรวบรวมข้อมูลทั้งหมดมาให้ข้าเท่านั้น เรื่องเหล่านี้คงไม่ใช่เรื่องยากเกินไปสำหรับผู้ฝึกปราณขั้นกลางอย่างพวกเจ้า” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ไม่เหมือนยิ้ม
“คุณชายวางใจเถอะ เรื่องอื่นๆ พวกข้าอาจจะช่วยอะไรได้ไม่ค่อยมาก แต่เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้รับรองไม่มีปัญหา” เจ้ากวนรีบกล่าวด้วยความโล่งใจ
“ดี พวกเจ้าทั้งสองพักอยู่เขานอกนิกายอีกสักคืน รอข้าคิดเรื่องที่จะให้พวกเจ้าทำเสร็จแล้วจะมาหาพวกเจ้าอีกครั้ง พอถึงเวลาพวกเจ้าไปทำตามที่ข้าบอกก็พอ” หลิ่วหมิงกล่าวกำชับอย่างราบเรียบ
ครั้งนี้เจ้ากวนเจ้ากู่ต่างก็ประสานเสียงกันตอบรับ
เวลาต่อมา หลิ่วหมิงทำท่ามือด้วยมือเดียวรวมตัวก้อนเมฆส่งทั้งสองกลับไปยังหอ จากนั้นตนเองก็ขี่เมฆกลับไปยังเขาเก้าทารก
ใช้เวลาไม่นานเขาก็กลับมาถึงที่พักของตนเอง เปิดประตูห้องหาเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งอย่างไม่ใส่ใจ แล้วก็หยิบจดหมายของนายท่านตระกูลไป๋ออกมาเปิดอ่าน
“ให้ข้าสวมรอยใช้ชื่อไป๋ชงเทียนต่อไป ทั้งยังให้พยายามช่วยตระกูลไป๋ขยายอิทธิพลให้ได้ภายในสิบปี ตระกูลไป๋เองก็จะจัดหาทรัพยากรจำนวนหนึ่งให้ข้าฝึกฝน ดูเหมือนจะเป็นเงื่อนไขที่ไม่เลวไม่ต่างจากที่ไป๋เยียนเอ๋อร์กล่าวไว้มากนัก แต่ในตอนท้ายที่กล่าวถึงเรื่องหมั้นหมายกับตระกูลมู่คืออะไร คิดที่จะให้ข้าหมั้นหมายกับมู่หมิงจู คงไม่ใช่เรื่องล้อเล่นหรอกนะ! ตอนนี้เจ้าหนูนั่นกำลังสนิทสนมกับเกาชง จะสนใจศิษย์สามชีพจรจิตวิญญาณอย่างข้าได้อย่างไร ควรให้ตระกูลมู่คุยกับเจ้าหนูนี่ให้ได้ก่อนค่อยว่ากันเถอะ!” อ่านจดหมายของนายท่านตระกูลไป๋เสร็จแล้ว หลิ่วหมิงก็ยิ้มเยือกเย็นขึ้นมาทันที ฝ่ามือทั้งสองถูกันแล้วจดหมายนี้ก็โดนเผากลายเป็นขี้เถ้า
เขาย่อมไม่คิดที่จะตอบจดหมายกลับไปยังตระกูลไป๋
เช้าวันที่สอง หลิ่วหมิงออกไปจากที่พักไปหาเจ้ากวนเจ้ากู่อีกครั้ง
เขาพาทั้งสองมายังที่ลับตาคนอีกครั้ง มอบหมายงานไปได้เกือบครึ่งชั่วยาม ถึงขี่เมฆส่งทั้งสองออกจากเทือกเขานิกายปีศาจด้วยตนเอง จากนั้นจึงกลับเข้าไปในนิกายใหม่
หลิ่วหมิงไม่ได้ตรงกลับไปที่พักทันที แต่กลับไปที่โรงหมอเทวดาที่อยู่บนยอดเขา
ครั้งนี้พอเขาเดินเข้าไปในบานประตูของหอที่สร้างขึ้นจากไม้นี้ ชั้นแรกยังคงมีคนอยู่หนึ่งคนเช่นเดิม แน่นอนว่าไม่ใช่เจียหลาน แต่กลับเปลี่ยนเป็นหญิงหน้าตาธรรมคนหนึ่ง
หญิงนางนี้ถามอย่างไม่ใส่ใจแล้วก็โบกมือให้เขาขึ้นไปชั้นสองได้
หลิ่วหมิงก็ก้าวขึ้นไปชั้นสองอย่างไม่เกรงใจ เขาเดินไปยังห้องที่มีกลิ่นโอสถโชยออกมาแต่ไม่ได้เข้าไปในครั้ง
พอเขาเดินถึงหน้าม่านไข่มุกสีขาวตรงทางเข้าห้อง ก็ชะงักฝีเท้าอย่างอดไม่ได้ มีเสียงอบอุ่นของผู้หญิงดังมาจากในนั้น
“ในเมื่อมาถึงแล้ว จะลังเลอะไรอีก! เข้ามาเถอะเจ้าหนุ่มน้อย”
“ขอบคุณอาจารย์อา ถ้าอย่างนั้นผู้น้อยไม่เกรงใจล่ะนะ” หลิ่วหมิงได้ยินคำพูดนี้ก็ตอบกลับไปอย่างสุภาพ แล้วถึงเลิกม่านไข่มุกเดินเข้าไป
แต่เมื่อเขาเข้าไปกวาดสายตาดูในนั้นแล้วกลับรู้สึกตกใจขึ้นมา
บนเก้าอี้ข้างเตาโอสถ คือหญิงใส่หมวกมีผ้าสีเขียวคลุมลงมาที่หลิ่วหมิงเคยเจอที่ชั้นสามในครั้งก่อน
“ผู้อาวุโสทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ท่านไม่ใช่ว่าอยู่……” หลิ่วหมิงคิดถึงตอนที่ถูกฝ่ายตรงข้ามไล่ไปในครั้งนั้น ก็รู้สึกลังเลขึ้นมา
“เฮ่อๆ ดูจากท่าทีของเจ้าคงเคยเจอพี่สาวของข้าแล้ว วางใจเถอะพวกข้าไม่ใช่คนๆ เดียวกัน เป็นพี่น้องฝาแฝดกันเท่านั้น ดังนั้นโดยทั่วไปจะแต่งกายเหมือนกัน” พอหญิงใส่หมวกผ้าคลุมเห็นหลิ่วหมิงมีท่าทีเหี่ยวเฉาเช่นนี้ กลับหัวเราะออกมาเบาๆ และอธิบายอย่างอ่อนโยน
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ผู้น้อยจำคนผิดแล้ว” พอหลิ่วหมิงได้ยินน้ำเสียง ก็เห็นว่าต่างกันกับหญิงหมวกคลุมชั้นสามอย่างสิ้นเชิงถึงได้รู้สึกโล่งใจขึ้นมา
“แต่เจ้าหนุ่มน้อย ข้าดูลักษณะของเจ้าแล้วไม่เหมือนกับได้รับบาดเจ็บหรือป่วยแต่อย่างใด!” หญิงหมวกคลุมกล่าวออกมาหลังจากที่ดูหลิ่วหมิงอยู่ครู่หนึ่ง
“ผู้น้อยเพิ่งกลับมาจากแดนปีศาจปรโลก แต่พบกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดในนั้น เคยรู้สึกว่าไม่ค่อยสบาย แต่หลังจากที่ตนเองได้ตรวจสอบแล้ว กลับไม่พบความผิดปกติใดๆ ดังนั้นจึงอยากให้ผู้อาวุโสตรวจร่างกายข้าหน่อยว่ามีตรงไหนที่ไม่ปกติบ้างหรือหรือไม่?” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างสุภาพ
“อ้อ! ร่างกายไม่ปกติ? ขอบเขตในครั้งมันกว้างเกินไป แต่ถ้าอย่างอยากจะตรวจอย่างละเอียดสักครั้งละก็ ข้าจะต้องอาศัยค่ายกลตรวจสอบสักครั้ง แต่ค่าใช้จ่ายมันไม่ใช่น้อย” หญิงหมวกคลุมดูไม่รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย นางกล่าวออกมาอย่างสงบ
“ใช้หินจิตวิญญาณเท่าไหร่?” หลิ่วหมิงถามโดยไม่ลังเล
“หนึ่งร้อย”
เสียงของหญิงใส่หมวกคลุมอบอุ่นเช่นนี้ แต่จำนวนตัวเลขที่กล่าวมานั้นให้เขาหลิ่วหมิงตกใจไม่น้อย
“ขอถามอาจารย์อาได้หรือไม่ ผลการตรวจสอบของค่ายกลนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” จำนวนจำเลขมากขนาดนี้ทำให้เขาลังเลขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“เจ้าวางใจเถอะ ถ้าร่างกายของเจ้ามีอะไรผิดปกติขึ้นมาจริงๆ ค่ายกลนี้จะต้องตรวจสอบออกมาได้อย่างแน่นอน มิเช่นนั้นข้าจะเก็บหินจิตวิญญาณจากผู้น้อยอย่างเจ้ามากถึงเพียงนี้ได้อย่างไร ที่จริงแล้วหินจิตวิญญาณร้อยก้อน มันแทบจะไม่เพียงพอที่จะใช้กับค่ายกลนี้” หญิงใส่หมวกคลุมตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ
“ถ้าอย่างนั้นผู้น้อยก็จะใช้สักครั้ง” หลังจากที่หลิ่วหมิงคิดชั่งใจแล้วก็กัดฟันตอบรับกลับไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา