ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 69

สรุปบท ตอนที่ 69: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

สรุปเนื้อหา ตอนที่ 69 – ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet

บท ตอนที่ 69 ของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 69 เรือสายหมอก
ตอนที่ 69 เรือสายหมอก
โดย
Ink Stone_Fantasy
ผ่านการคิดไตร่ตรองมานานขนาดนี้ ในที่สุดก็หารับวิธีรับมือกับฟองอากาศลึกลับได้ชั่วคราวแล้ว

วิธีแรกคือ เลียนแบบเหตุการณ์ครั้งนี้ที่โชคดีรอดมาได้ หวังว่าจะสามารถยืมพลังปราณหยินของแมงป่องกระดูกขาวมาใช้รับมือได้

แต่วิธีการนี้อันตรายเป็นอย่างมาก ถ้าหากพลาดท่าตนเองอาจกลายเป็นปีศาจได้

และถึงแม้เขาจะยอมเสี่ยงอันตรายทำเช่นนี้ แต่ในนั้นก็มีปัจจัยที่ไม่แน่นอนมากไปหน่อย

ยกตัวอย่างเช่น จะมั่นใจได้อย่างไรว่าเวลาที่ฟองอากาศระเบิดบริเวณนั้นจะมีปราณหยินอยู่จำนวนมากพอดี มิเช่นนั้นอาศัยแค่ปราณหยินเพียงเล็กน้อยในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณนั้นคงไม่พอใช้อย่างแน่นอน

ประการต่อมา เขาจะแน่ใจได้อย่างไรว่าครั้งหน้าแมงป่องกระดูกขาวจะระเบิดหน้าปีศาจแปลกประหลาดนั้น มาดูดปราณหยินและส่งให้เขาอย่างราบรื่น…

ตัวอย่างทั้งหมดนี้ทำให้หลิ่วหมิงแค่คิดไตร่ตรองเล็กน้อย แล้วก็ตัดสินใจเก็บวิธีการนี้ไว้ใช้ในยามที่ไม่มีทางเลือกเท่านั้น

เขาผ่านการคิดไตร่ตรองไปมาหลายรอบ จนคิดว่าวิธีการที่เชื่อถือได้มากที่สุดคือการทำทุกวิถีทางเพื่อยกระดับการฝึกฝนของตนเอง

ทุกครั้งที่เลื่อนระดับการฝึกฝนขึ้น ก็สามารถทำให้พลังเวทย์ของตนเองเพิ่มขึ้นหลายเท่า

ถ้าหากครั้งหน้าก่อนที่เจ้าฟองอากาศระเบิดขึ้น เขาสามารถก้าวเข้าสู่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายได้ล่ะก็ พลังเวทย์คงจะเพียงพอให้มันกลืนกินในครั้งต่อไปแล้ว

และเพียงแค่มีพลังเวทย์ที่เพียงพอให้เจ้าฟองอากาศกลืนกิน มันก็ไม่ต้องดูดเอาพลังชีวิตเขาแล้ว ทั้งยังทำให้เขาได้ไปห้องว่างเปล่าลึกลับนั่น เช่นนี้แล้วเขาจะมีเวลาในการฝึกเคล็ดวิชาต่างๆ เป็นจำนวนมาก

แต่การจะเลื่อนขั้นไปสู่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ

ถึงแม้ครั้งนี้เขาจะได้รับความโชคดีจากความโชคร้ายจนทำให้พลังเวทย์บริสุทธิ์อีกครั้ง แต่คิดที่จะเลื่อนเข้าสู่ขั้นปลายของศิษย์จิตวิญญาณนั้นเกรงว่าจะต้องใช้เวลาเกือบสองปี

และจากระยะของเวลาที่มันระเบิดทั้งสองครั้งแล้วเหมือนจะยังไม่ถึงครึ่งปี ถ้าใช้เวลาในการยกระดับนานขนาดนี้คงจะไม่ทันการ

ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็เขาคงมีแค่วิธีการเพิ่มพลังเวทย์ด้วยโอสถแล้วล่ะ

ถึงแม้พลังเวทย์ที่รับมาจากพลังภายนอกส่วนมากจะไม่ค่อยมั่นคง อาจส่งผลกระทบต่อการก้าวสู่ขั้นที่สูงในภายภาคหน้า แต่เจ้าฟองอากาศนี้มันสามารถทำให้พลังเวทย์บริสุทธิ์ได้ เรื่องนี้จึงไม่ต้องกังวลใจมากนัก

ดังนั้นปัญหาหนึ่งเดียวในตอนนี้คือจะหาโอสถเพิ่มพลังเวทย์ได้อย่างไร

แค่ใช้แต้มคุณูปการแลกคงไม่พออย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นแลกจากนิกายแค่ครั้งสองครั้งคงไม่เป็นไร แต่ถ้าบ่อยๆ ล่ะก็ คงจะดูเตะตาจนเกินไปจนอาจจะนำความยุ่งยากมาให้ได้

ถ้าเช่นนี้ล่ะก็ คงเหลือแค่ไปซื้อโอสถจากนอกนิกายกับเรียนวิชาปรุงโอสถเองด้วยตนเองแล้ว

ทั้งสองวิธีนี้ วิธีแรกเป็นการแก้ปัญหาในระยะสั้น แต่วิธีที่สองกลับเป็นการวางแผนแก้ปัญหาในระยะยาว

พอหลิ่วหมิงนึกขึ้นมาได้ว่าวิธีการแรกต้องใช้หินจิตวิญญาณจำนวนมาก วิธีการหลังต้องเรียนอย่างยากลำบาก เขาก็แสยะปากอย่างอดไม่ได้

โดยเฉพาะวิธีการหลัง ด้วยผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถที่มีน้อยถึงแม้อยากจะเรียนก็คงไม่สามารถเรียนได้

แต่เรื่องมันเกี่ยวพันถึงชีวิต ถึงแม้จะลำบากอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เขาก็จำเป็นต้องดันทุรังเรียนให้ได้

หลิ่วหมิงคิดได้แบบนี้ก็ไม่อยู่ในห้องเพื่อฝึกฝนต่อแล้ว แต่กลับเหาะไปบนยอดเขาเก้าทารกแทน

สำหรับเขาในตอนนี้ วิธีที่จะได้หินจิตวิญญาณมาเร็วที่สุดก็คือทำภารกิจของนิกายนั่นเอง

แต่ก่อนหน้านั้นเขาคิดที่จะเรียนวิชาใหม่สองสามวิชา จากนั้นหลอมสร้างโซ่ตรวนวิญญาณที่คุณภาพดีหน่อย

หากคิดที่จะหาหินจิตวิญญาณมาให้ได้มากๆ ก็ต้องรับภารกิจที่อันตรายหน่อย ดังนั้นต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อม

หนึ่งชั่วยามผ่านไป เมื่อหลิ่วหมิงไปจากยอดเขาแล้วเขาได้นำคัมภีร์โบราณ “วิชาใยแมงมุม” “วิชาแท่งวารี” “วิชาเลนทราย” กลับมาด้วย

แต่เขาก็ไม่ได้กลับไปที่พักในตอนนี้เลย แต่กลับเหาะไปยังยอดเขาหลักของนิกาย

หลังจากผ่านไปไม่นาน เขาก็มาอยู่กลางหอใหญ่สีดำมืดครึ้ม และยืนอยู่หน้าค่ายกลสีเงินที่อยู่กลางโถง รับป้ายชื่อที่เพิ่งยื่นให้ชายรูปร่างผอมสูงผู้หนึ่งกลับคืนมา

“จำให้ดี เจ้าค่ายแต้มคุณูปการมาแค่ยี่สิบแต้ม และก็อยู่ในบ่อวิญญาณได้แค่สี่ชั่วยามเท่านั้น ถ้าเลยเวลาแล้วยังไม่ออกมาล่ะก็จะเพิ่มค่าใช้จ่ายขึ้นอีกเท่าตัว” ชายร่างผอมสูงกล่าวอย่างเย็นชา แล้วนำป้ายหัวปีศาจแกว่งไปทางค่ายกล

พลันมีเสียงจากค่ายกลดังขึ้นมา ไอสีดำหลายสายพุ่งออกมาจากในนั้น

หลิ่วหมิงก้าวยาวๆ เข้าไปในนั้น โดยไม่กล่าวอะไรสักคำ

อักขระรอบค่ายกลปรากฏขึ้น หลังจากที่ค่ายกลสั่นไหวร่างของเขาก็หายไป

ครู่ต่อมา หลังจากที่หลิ่วหมิงลืมตาทั้งสองขึ้น ก็พบว่าตัวเองยืนอยู่ในถ้ำขนาดใหญ่

ถ้ำมีขนาดประมาณร้อยหมู่ ตรงกลางมีบ่อน้ำสีดำเส้นผ่าศูนย์กลางสิบกว่าจั้ง มีไอสีดำลอยออกมาอยู่ตลอด

ในนั้นส่วนมากเป็นศิษย์ใหม่ที่อายุยังไม่เต็มยี่สิบปีบริบูรณ์ บ้างก็แอบกระซิบเบาๆ บ้างก็มองไปรอบด้านด้วยความตื่นเต้น และชายหญิงคู่หนึ่งในนั้นทำให้หลิ่วหมิงต้องเขม้นตามอง

พวกเขาก็คือเหลยเจิ้นกับหญิงสาวรูปร่างอรชรที่เป็นศิษย์สาขากลลับสวรรค์ด้วยกันผู้นั้น

ทั้งสองคนนี้กำลังพูดคุยกันอยู่เบาๆ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ใส่ใจต่อการมาของหลิ่วหมิง

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้กล่าวทักทายอะไรขึ้นมาก่อน แต่กลับเดินไปยืนรออีกด้านหนึ่งอย่างเงียบๆ

ผ่านไปสักครู่ พลันมีเสียงดังแจ่มชัดมาจากท้องฟ้าไกลๆ จากนั้นอินทรียักษ์สีดำตัวหนึ่งก็บินเข้ามา ครู่เดียวก็มาอยู่เหนือบนยอดเขาแล้ว

พอนกอินทรียยักษ์สีดำหุบปีกก็มีกลิ่นเหม็นคาวโชยมาบนเขา และหญิงสองคนสวมชุดสีน้ำเงินกับสีเขียวกระโดดลงมาจากหลังของมัน

“เอ๋! ทำไมไม่เป็นอาจารย์อาจาง…นั่นไม่ใช่ศิษย์พี่เฉียนที่มีชื่ออันดับห้าบนแผ่นศิลาจันทราหรอกหรือ!” พอผู้คนบนยอดเขาเห็นใบหน้าของหญิงสาวทั้งสองชัดเจนแล้ว ก็พลันเกิดความวุ่นวายอยู่พักหนึ่ง คนจำนวนไม่น้อยต่างก็แสดงสีหน้าแปลกใจออกมา แต่ก็มีศิษย์นิกายปีศาจบางคนที่มีอายุมากหน่อยที่พอจำหญิงสาวชุดน้ำเงินได้ก็ยิ่งตกตะลึงมากขึ้นกว่าเดิม

พอหลิ่วหมิงได้ยินคำว่า ‘แผ่นศิลาจันทรา’ ก็มองไปยังหญิงสาวทั้งสองด้วยความตกตะลึง

เขาเห็นหญิงชุดน้ำเงินที่อายุมากหน่อยมีรูปร่างสูงสะโอดสะอง หน้ารูปไข่ นางดูงดงามมาก มีกระบี่เล่มยาวสะพายอยู่ที่หลัง และหญิงสาวชุดเขียวดูเหมือนจะมีอายุสิบหกถึงสิบเจ็ดปี ใบหน้ารูปตุ๊กตา ผูกผมเปียเล็กๆ เต็มศีรษะ ประจักษ์ชัดว่าน่ารักเป็นอย่างมาก แต่ในมือกลับถือห่อสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ดูเหมือนจะหนักมาก

“อาจารย์อาจางมีธุระสำคัญกระทันหันไม่สามารถนำไปในครั้งนี้ได้ ทางนิกายมอบภารกิจในการนำกลุ่มไปตลาดเว่ยโจวให้ข้าแล้ว ทุกคนต่างก็ชำระแต้มคุณูปการที่หอดำเนินการเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจึงได้มาร่วมกลุ่มนี้ถ้าหากว่าตอนนี้อยากถอนตัวล่ะก็ยังสามารถคืนแต้มคุณูปการได้ครึ่งหนึ่ง แต่ถ้าหากไม่มีล่ะก็พวกเราก็ออกเดินทางได้แล้ว” หญิงเสื้อน้ำเงินกวาดสายมองผู้คนบนเขาครู่หนึ่งแล้วกล่าวเรียบๆ ถึงแม้เสียงจะไม่ดังมาก แต่ทุกคนก็ได้ยินอย่างชัดเจน

ประจักษ์ชัดว่าผู้นี้ก็คือ ‘ศิษย์พี่เฉียน’ ผู้นั้นนั่นเอง

ผู้คนต่างชำเลืองมองกันสักพักหนึ่ง แน่นอนว่าไม่มีใครก้าวออกมาจริงๆ

“ในเมื่อไม่มีปัญหา ถ้าอย่างนั้นก็ออกเดินทางกันเลย ชุ่ยเอ๋อร์ เจ้าปล่อยเรือสายหมอกออกมาเถอะ!”

“ได้เลยศิษย์พี่”

พอดรุณีน้อยชุดเขียวด้านข้างได้ยินก็รีบตอบรับอย่างเสียงดังฟังชัด แล้วนำห่อของวางไว้บนพื้น แล้วหยิบม้วนสีเหลืองอ่อนออกมา พอเปิดมันออกก็วางลงบนพื้นราบเรียบ

หลิ่วหมิงจ้องมองออกไป เขาเห็นม้วนสีเหลืองนั้นมีรูปวาดเรือยักษ์สีเหลืองจางๆ อยู่ลำหนึ่ง รอบด้านมีไอหมอกหนาทึบเต็มไปหมด ทำให้เขามองเห็นไม่ชัดเจน

……………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา