เสียงดัง “ฟู่!” ไอหมอกสีเหลืองจำนวนมากนำพาอักขระหลากสีพุ่งออกมาจากม้วนกระดาษ แล้วลอยขึ้นไปสูงสิบกว่าจั้ง หลังจากที่มันหมุนติ้วๆ เกาะตัวกันแล้วก็กลายเป็นเรือยักษ์สีเหลืองอ่อนลำหนึ่ง
เรือลำนี้ดูเหมือนจะใหญ่มาก แต่ดูพร่ามัวราวกับว่าไม่มีอยู่จริง
“เอาล่ะ ศิษย์น้องทั้งหลายขึ้นไปได้แล้ว” ศิษย์พี่เฉียนกลับไม่สนใจอาการตกตะลึงของคนอื่นๆ และเหาะขึ้นเรือสายหมอกไปกับดรุณีน้อยชุดเขียว
คนอื่นๆ สบตากันสักครู่แล้วก็รีบเหาะขึ้นไป
“เอ๊ะ! ทำไมเป็นเจ้าอีกแล้ว!” พอเหลยเจิ้นกับดรุณีน้อยรูปร่างอรชรเหาะขึ้นไปบนเรือสายหมอกแล้วเดินไม่กี่ก้าวก็เห็นหลิ่วหมิงที่อยู่ไม่ไกล พวกเขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
“ข้าน้อยก็คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอกับศิษย์พี่เหลยที่นี่” ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามกล่าวแล้ว หลิ่วหมิงก็ก้มศีรษะเล็กน้อยแล้วกล่าวออกไป
“ถ้าข้าจำไม่ผิดล่ะก็ ศิษย์น้องไป๋เป็นศิษย์ของอาจารย์อากุยแห่งเขาเก้าทารกใช่ไหม เจ้าไม่ยอมฝึกฝนอยู่ในนิกาย แต่กลับมีเวลาไปนั่นนู่นนี่ ไม่กลัวว่าการฝึกฝนของตัวเองจะล่าช้าหรืออย่างไร!” เหลยเจิ้นกล่าวด้วยตาเป็นประกาย เห็นได้ชัดว่าเขารู้จักชื่อปลอมของหลิ่วหมิง และเหมือนจะเข้าใจเรื่องราวอื่นๆ ของหลิ่วหมิงดี
“อ้อ! ที่แท้ศิษย์พี่เหลยก็รู้จักแซ่ของข้า ข้าต้องไปตลาดเว่ยโจวเพื่อทำธุระสำคัญบางอย่าง ถึงแม้จะเปลืองเวลาก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจเลี่ยงได้” ตอนแรกหลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึงแต่ก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ข้าได้ยินมาว่าช่วงนี้ที่หอดำเนินการมี ‘คนบ้าภารกิจ’ ผู้หนึ่ง ทำภารกิจได้สำเร็จสี่ห้าสิบภารกิจภายในเวลาไม่กี่เดือน ว่ากันว่าเป็นศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้านิกายไม่นาน เหมือนจะแซ่ไป๋ด้วย คงไม่ใช่คนเดียวกันกับศิษย์พี่หรอกนะ!” หญิงรูปร่างอรชรที่อยู่ด้านข้างได้ยินเช่นนี้ก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เฮ้อ! ศิษย์ใหม่ที่เข้านิกายถ้าไม่มีคนแซ่ไป๋คนที่สองแล้วล่ะก็คงเป็นข้าแล้วล่ะ ช่วงนี้ข้าค่อนข้างขาดแคลนเลยต้องทำภารกิจให้มากหน่อย เพื่อแลกกับหินจิตวิญญาณ” เห็นฝ่ายตรงข้ามดูเหมือนจะไม่มีเจตนาร้ายอะไร หลิ่วหมิงก็ได้แค่ถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวออกมา
“คือศิษย์พี่ไป๋จริงๆ ด้วย! จุ๊ๆ! ข้าได้ยินศิษย์พี่บางคนบอกว่า ภารกิจที่ศิษย์พี่ไป๋ทำสำเร็จนั้น มีจำนวนไม่น้อยที่แม้แต่ศิษย์เก่าบางคนยังบอกว่าอันตรายเป็นอย่างมาก ไม่คาดคิดว่าท่านกลับทำมันได้สำเร็จอย่างรวดเร็ว หรือว่าท่านมีเคล็ดลับอะไร? ใช่สิ! น้องชื่อโอวหยางเฟย เป็นศิษย์สาขากลลับสวรรค์เช่นเดียวกัน” ดรุณีน้อยรูปร่างอรชรกล่าวด้วยความแปลกใจ ขณะเดียวกันก็แนะนำตัวพร้อมกับยิ้มหวานออกมา
“ศิษย์น้องโอวหยางล้อข้าเล่นแล้ว ภารกิจของนิกายเราจะมีเคล็ดลับอะไร ข้าก็แค่ใช้เวลามากหน่อยบวกกับโชคค่อนข้างดี ถึงทำภารกิจได้สำเร็จมากมายเช่นนี้” หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็ได้แต่ตอบกลับไปอย่างคลุมเครือ
“ฮึ! คำพูดเช่นนี้เจ้าคิดว่าข้าเหลยเจิ้นจะเชื่อเจ้าหรือ ถ้าหากมีโอกาสล่ะก็เรามาแลกมือกันดูบ้าง ข้าคิดว่าพลังของศิษย์น้องไป๋ก็คงจะทำให้ข้าตื่นตะลึงกว่าที่คาดคิดไว้มาก” ตาทั้งสองของเหลยเจิ้นมองหลิ่วหมิงอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมา
“ศิษย์พี่เหลยล้อข้าเล่นแล้ว ท่านมีเก้าชีพจรจิตวิญญาณอัสนี ข้าจะเป็นคู่ต่อสู้ของท่านได้อย่างไร” ถึงหลิ่วหมิงจะรู้สึกประหลาดใจมาก แต่ก็ได้แต่ส่ายหัวออกมา
“ไม่เคยแลกมือกัน เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า! ข้าเคยได้ยินคนพูดกันว่าเจ้าเคยปะมือกับคนของหุบเขาเก้าช่อง ทั้งยังเอาชนะศิษย์ที่มีพรสวรรค์คนหนึ่ง เรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องโกหกหรอกนะ” เหลยเจิ้นฟังคำพูดนี้แล้วก็ถามออกมาด้วยสีหน้าแปลกใจ
“ศิษย์พี่เหลยรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?” หลิ่วหมิงได้ยินเรื่องนี้ ถึงกับรู้สึกอึ้งไปเลยทีเดียว
“ดูท่าศิษย์พี่ไป๋คงยังไม่รู้ เรื่องที่เจ้าเอาชนะศิษย์ที่มีพรสวรรค์ของหุบเขาเก้าช่องได้นั้น ถูกศิษย์พี่เขาเก้าทารกปล่อยข่าวออกมานานแล้ว ทำให้คนในสาขาของพวกเจ้ามีหน้ามีหน้ามีตาไม่น้อย กอปรกับที่ช่วงนี้กวาดภารกิจของหอดำเนินการไปมากมาย ชื่อเสียงของเจ้าในตอนนี้ดังไปทั่วนิกายแล้ว” โอวหยางเฟยหัวเราะเบาๆ กล่าวออกมา
หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็ได้แต่ฝืนยิ้มออกมา
“ถ้าตอนนี้ศิษย์น้องไม่ยอมแลกมือกับข้าล่ะก็ งั้นก็รอการประลองอีกปีครึ่งล่ะกัน พอถึงเวลาเจ้าคงจะเข้าร่วมการประลองนี้!” เหลยเจิ้นจ้องมองหลิ่วหมิงแล้วกล่าวออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ถ้าเป็นการประลองใหญ่ในนิกายล่ะก็ย่อมไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่ว่าพอถึงเวลาก็ไม่แน่ว่าจะได้เจอกับศิษย์พี่เหลย” หลิ่วหมิงได้แต่ฝืนยิ้มกล่าวออกมา
“ไม่เป็นไร แค่ข้าได้เห็นเจ้าลงมือก็รู้ว่าพลังของเจ้าเป็นเช่นไร หวังว่าพอถึงเวลานั้นคงจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง” เหลยเจิ้นกล่าวอย่างองอาจแล้วก็จากไป
โอวหยางเฟย ยิ้มแสดงการขอโทษกับหลิ่วหมิงแล้วก็ตามเหลยเจิ้นไป
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ได้แต่ส่ายศีรษะเบาๆ โดยไม่กล่าวอะไรออกมา
แต่ในใจของเขากลับมีความประทับใจที่ดีต่อเหลยเจิ้น
ถึงแม้คนผู้นี้จะดูหยิ่งยโสมาก ชอบการต่อสู้ แต่กมลสันดานเหมือนจะเป็นคนเรียบง่าย
คงเป็นเพราะเหตุนี้ เขากลลับสวรรค์ถึงยอมให้โอวหยางเฟยคอยติดตามเป็นเพื่อน
ตอนที่หลิ่วหมิงกำลังคิดใคร่ครวญอยู่นั้น ม่านแสงจางๆ ได้ลอยขึ้นคลุมเรือทั้งลำเพื่อปกป้องผู้คนที่อยู่ในนั้น หลังจากที่มันสั่นไหวก็พาคนทั้งหมดเหาะออกไป
หลิ่วหมิงหามุมที่ไม่มีคนอยู่แล้วหยุดยืนอยู่ตรงนั้น และมองออกไปนอกม่านแสง ขณะเดียวกันก็รับรู้ได้ถึงความเร็วของเรือสายหมอก
เรือสายหมอกนี้ถึงแม้จะเร็วกว่าวิชาทะยานเวหามาก แต่เทียบกับเรือเหาะหยกจิตวิญญาณแล้วยังห่างชั้นกันมากนัก
ดูเหมือนคงจะไม่ใช่อาวุธเหาะจิตวิญญาณแต่อย่างใด แต่กลับคล้ายกับใช้วิชาบางอย่างเชื่อมผนึกอาวุธอาญาสิทธิ์พิเศษสร้างขึ้นมา
หลิ่วหมิงวิเคราะห์ถึงความลับของเรือสายหมอกนี้ไปด้วย ใช้มือลูบถุงผ้าเล็กๆ ที่อยู่ในแขนเสื้อไปด้วย
ในถุงผ้ามีผลึกหินใสแค่สามสิบกว่าก้อน มันคือผลึกหินระดับกลางที่เขาแลกมาจากนิกาย
ถ้าต้องพกหินระดับต่ำอย่างหินจิตวิญญาณสามพันกว่าก้อนล่ะก็ เกรงว่าเขาต้องแบกถุงใบใหญ่แล้ว
เหตุที่ครั้งนี้ที่เขายอมใช้แต้มคุณูปการเกือบร้อยแต้มเพื่อไปตลาดเว่ยโจวนั้น ก็เพื่อจะใช้หินจิตวิญญาณเหล่านี้ไปแลกกับโอสถเพิ่มพลังเวทจำนวนหนึ่ง
จากระยะเวลาที่ฟองอากาศลึกลับระเบิดสองครั้งนั้นก็เหลือเวลาอีกประมาณครึ่งปี
เขาจะอาศัยจังหวะก่อนที่มันจะระเบิดนี้เพิ่มระดับการฝึกฝนก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา