แสงสว่างม้วนตัวออกมา พริบตาเดียวเขาก็มาปรากฏตัวนอกประตูวิหารวิญญาณกระบี่แล้ว
จากนั้นหลิ่วหมิงก็ทะยานขึ้นฟ้าขี่เมฆไปทางยอดเขาลั่วโยว
พอกลับถึงถ้ำที่พัก ก็พุ่งไปนอนหลับที่ห้องนอนทันที
ตอนอยู่ในวิหารวิญญาณกระบี่ เพื่อที่จะสังหารวิญญาณกระบี่ และดูดซับไอกระบี่ให้ได้มากที่สุด หลิ่วหมิงจึงต่อสู้เป็นเวลานานโดยที่แทบจะไม่ได้นอนพักเลย ขณะนี้สูญเสียพลังเวทและพลังจิตไปมาก จำเป็นต้องพักผ่อนฟื้นฟูเป็นการเร่งด่วน
เช้าตรู่วันที่สอง หลิ่วหมิงตื่นขึ้นมาทำความสะอาดตัวเองเล็กน้อย และเริ่มคิดไตร่ตรองอย่างเงียบๆ
คำพูดของหลัวโหวในวิหารกระบี่ในตอนนั้น ทำให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัย ส่วนตนเองจะสามารถควบคุมพลังจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ได้นานเท่าใดนั้น ก็ไม่อาจรู้ได้
แต่ในเมื่อจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่แข็งแกร่งจนสามารถใส่เข้าไปได้แล้ว ภารกิจเร่งด่วนในตอนนี้ก็คือ ต้องรีบหาวัสดุที่เหมาะสมมาหลอมกระบี่บินพลังจิตวิญญาณให้ไวที่สุด
ส่วนการรวบรวมวัสดุสำหรับหลอมกระบี่บินนั้น เขาก็มีแผนในใจแล้ว ซึ่งจะไปดูที่หอไท่เจินที่มีชื่อเสียงในนิกาย หากว่าไม่ได้จริงๆ คงได้แต่ไปเสี่ยงดวงที่งานประมูลของหอหารค้าเชียนเหมิงแล้ว
หลังจากคิดเช่นนี้แล้ว เขาก็พลิกฝ่ามือนำแผนที่เทือกเขาหมื่นวิญญาณมาใช้จิตกวาดดู จากนั้นก็ลุกเดินออกจากถ้ำที่พัก และมุ่งหน้าไปวิหารไท่เจิน
วิหารไท่เจินที่กล่าวถึง แท้จริงแล้วเป็นสถานที่แลกวัสดุล้ำค่าได้อย่างอิสระของนิกายยอดบริสุทธิ์ ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์สามารถใช้แต้มคุณูปการของตนเองแลกวัสดุล้ำค่าต่างๆ แน่นอนหากว่ามีสิ่งของล้ำค่า ก็สามารถนำมาประเมินค่าในวิหารไท่เจินได้ จากนั้นก็แลกเป็นแต้มคุณูปการของนิกาย
วิหารไท่เจินนี้ดูคล้ายกับตลาด เพียงแต่เปลี่ยนหินจิตวิญญาณในการแลกเปลี่ยนเป็นแต้มคุณูปการเท่านั้น อีกอย่างราคาก็ไม่คุ้มค่าเหมือนกับไปซื้อที่ตลาดภายนอกด้วยตนเอง
สำหรับศิษย์โดยทั่วไปแล้ว แต้มคุณูปการในนิกายหาได้ยากเช่นนี้ ย่อมไม่ยอมเอาไปแลกอย่างแน่นอน
อีกอย่างแม้ว่าสมบัติต่างๆ ในวิหารไท่เจินจะมีมาก แต่เทียบกับแต้มคุณูปการหนึ่งแสนกว่าแต้มขึ้นไปแล้ว ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสามารถรับได้
เพราะหินจิตวิญญาณยังสามารถหาได้จากการขายโอสถ และอาวุธจิตวิญญาณ แต่แต้มคุณูปการกลับต้องค่อยๆ ใช้เวลาทำภารกิจของนิกายถึงจะได้มา
เวลาผ่านไปราวๆ ครึ่งถ้วยชา หลิ่วหมิงก็มาถึงบริเวณยอดเขาที่ดูไม่เตะตาแห่งหนึ่ง
ขณะนี้เป็นเวลาเช้าตรู่ ท้องฟ้ายังไม่สว่างมากนัก พอทอดสายตามองออกไป จะเห็นว่ามีหมอกจางๆ ปกคลุมอยู่บนยอดเขา
ท่ามกลางไอหมอกที่ลอยวน สามารถมองเห็นวิหารที่อยู่ในนั้นอย่างเลือนลาง
หลิ่วหมิวกระตุ้นหมอกดำให้ร่อนลงบนพื้นมุมหนึ่งของยอดเขาทันที และยืนสังเกตวิหารตรงหน้า
เทียบกับวิหารใหญ่ที่หลิ่วหมิงเคยเจอแล้ว เห็นได้ชัดว่าวิหารแห่งนี้มีขนาดเล็กลงไปไม่น้อย สูงเพียงแค่สองสามจั้ง ครอบคลุมพื้นที่ไม่ถึงสิบกว่าจั้ง เป็นสิ่งก่อสร้างไม้โบราณที่ดูเรียบง่ายเป็นอย่างมาก นอกประตูวิหารมีอักขระทรงพลังสลักอยู่บนแผ่นไม้สีแดงว่า ‘วิหารไท่เจิน’
บนยอดเขาแห่งนี้ นอกจากจะมีวิหารไท่เจินแล้ว ก็ไม่มีสิ่งก่อสร้างใดอีก ทั้งสองด้านของวิหารมีต้นไม้โบราณปลูกกระจัดกระจายอยู่จำนวนหนึ่งเท่านั้น
หลิ่วหมิงสังเกตดูอย่างง่ายๆ ไปหนึ่งรอบ จากนั้นก็เดินไปยังประตูใหญ่ของวิหาร
พอเข้าไปด้านใน จะเห็นว่าห้องโถงชั้นหนึ่งของวิหารแห่งนี้ไม่กว้างมากนัก ทั้งสองด้านเป็นบันไดที่ทอดยาวไปสู่ชั้นสอง
พอมองออกไป ในห้องโถงมีศิษย์สายในที่สวมชุดของยอดเขาอื่นๆ อยู่ห้าหกคน และกำลังพูดคุยอะไรกันอยู่เบาๆ
พอคนเหล่านี้เห็นหลิ่วหมิง ก็รีบหยุดการสนทนาในทันที บางคนก็สังเกตดูหลิ่วหมิงด้วยความแปลกใจ
หลิ่วหมิงเพียงแค่พยักหน้าให้คนเหล่านี้เล็กน้อย จากนั้นก็เดินไปชั้นสองอย่างไม่สะทกสะท้าน
วิหารไท่เจินมีแค่สองชั้น ชั้นแรกเป็นสถานที่บรรดาศิษย์พักผ่อน ชั้นสองถึงเป็นสถานที่แลกวัสดุล้ำค่า แน่นอนหากมีความต้องการล่ะก็ สามารถนำสิ่งของของตัวเองมาแลกแต้มคุณูปการได้ และสิ่งของที่เข้าตาวิหารไท่เจินย่อมไม่ใช่สมบัติธรรมดา
พอหลิ่วหมิงเหยียบลงบนชั้นสอง กลับค้นพบว่าตรงหน้าว่างเปล่า เป็นแค่ห้องโถงว่างเปล่าเท่านั้น และในมุมด้านหนึ่งของห้องโถง ก็มีค่ายกลสีต่างๆ ขนาดหนึ่งจั้งกว่าๆ เปล่งประกายอยู่สองสามหลัง
เก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างมีชายหน้ายาว อายุราวๆ สามสิบกว่าปี สวมชุดผู้ดำเนินการนั่งอยู่ ขณะนี้กำลังยืนขึ้นมาด้วยท่าทีเกียจคร้าน หลังจากอ้าปากหาวแล้ว ถึงถามออกมาอย่างไม่ใส่ใจ
“ศิษย์น้องผู้นี้ต้องการแลกสิ่งใด วัสดุ โอสถ หรืออาวุธจิตวิญญาณ?”
“ข้าน้อยอยากแลกวัสดุสำหรับหลอมกระบี่บินพลังจิตวิญญาณจำนวนหนึ่ง” หลิ่วหมิงเอามือลูบจมูก และกล่าวด้วยสีหน้าสงบ
“อ๋อ! วัสดุกระบี่บิน เจ้ารอสักครู่” ชายหน้ายาวมองดูเสื้อผ้าหลิ่วหมิงทีหนึ่ง และเผยสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อหยิบหนังสือหยกแวววาวเล่มหนึ่งออกมา และหรี่ตาทั้งคู่อ่าน
“ค่ายกลส่งตัวที่สาม เข้าไปที่ตู้แถวที่สอง ใบที่หกตรงชั้นแรก มีเพียงแค่สองชิ้น ชิ้นหนึ่งเป็นหินโมราพายุ ชิ้นที่สองเป็นแก่นทองคำอุกกาบาต ต่างก็ใช้แต้มคุณูปการสี่แสนห้าหมื่นแต้มแลก”
ผ่านไปสักพัก ชายหน้ายาวก็กล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าจริงจัง
“แก่นทองคำอุกกาบาต?”
หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกดีใจอย่างอดไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าเขาจะคิดถูกที่มาวิหารไท่เจินในครั้งนี้ ซึ่งมีวัสดุสำหรับหลอมร่างกระบี่ตามที่เขาต้องการ
แต่พอก้มมองป้ายประจำตัวบนเอว กลับต้องขมวดคิ้วขึ้นมา และแอบยิ้มในใจอย่างขมขื่น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา