หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ท่ามกลางค่ายกลแสงดาราเหมือนดังที่ผ่านมา มีแสงดาราเข้มข้นลอยวนอยู่รอบๆ
พอเปลวไฟสีขาวตรงหน้าสลายไป ก็เผยให้เห็นร่างกระบี่สีทองอร่ามขนาดเล็กที่ยาวสองฉื่อเล่มหนึ่ง
“สำเร็จแล้ว!”
หลิ่วหมิงมองดูร่างตัวอ่อนกระบี่ที่ลอยอยู่ตรงหน้าด้วยความดีใจเป็นล้นพ้น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่สำเร็จ
จะว่าไปแล้ว ร่างตัวอ่อนกระบี่หลอมยากเช่นนี้ มันช่างเหนือความคาดหมายของหลิ่วหมิงยิ่งนัก
โชคดีที่เขาสามารถทดลองซ้ำๆ ในแดนมายาได้ หากเป็นคนทั่วไปที่อยากจะสำเร็จในครั้งเดียว ก็ดูเหมือนแทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
แม้ว่าก่อนหน้านั้นทุกอย่างจะราบรื่น แต่หากเกิดความผิดพลาดในเรื่องของกำลังไฟที่เผาได้ที่ ก็จะหลอมได้แค่ของที่มีสภาพไม่ดี หากนำมาใส่จิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ล่ะก็ อาจทำให้อานุภาพของกระบี่บินพลังจิตวิญญาณลดลงไปไม่น้อย
หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็หลับตาทั้งคู่ลง และออกไปจากแดนมายาอีกครั้ง
พริบตาเดียว เวลาก็ผ่านไปสามเดือนแล้ว
หลิ่วหมิงผ่านการหลอมมาร้อยกว่าครั้ง ในการหลอมร่างกระบี่สิบครั้งในตอนนี้ สามารถหลอมได้สำเร็จห้าถึงหกครั้งแล้ว และความล้มเหลวไม่กี่ครั้งก็เป็นเพราะความประมาท
ครึ่งปีต่อมา ทักษะการหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่ของหลิ่วหมิงก็ค่อนข้างชำนาญแล้ว แม้ไม่อาจรับประกันได้ว่าจะสำเร็จเต็มสิบส่วน แต่ก็มีอัตราความเร็จแปดถึงเก้าในสิบส่วน
วันนี้ ขณะที่เขากำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องลับ แผ่นค่ายกลส่งเสียงบนเอวก็พลันสั่นสะท้านขึ้นมา
หลิ่วหมิงลืมตาทั้งคู่และหยิบแผ่นค่ายกลออกมา หลังจากปล่อยพลังเวทเข้าไปในนั้นแล้ว ก็มีเสียงจินเทียนชื่อดังมาจากแผ่นค่ายกล
“คืนในอีกสามวันให้หลัง จะเป็นคืนที่พลังของดาราแข็งแกร่งที่สุด หวังว่าพี่หลิ่วจะเตรียมการไว้ล่วงหน้า”
“ดูท่าจะสำเร็จหรือล้มเหลวคงขึ้นอยู่กับครั้งนี้แล้ว” หลิ่วหมิงพูดพึมพำไปหนึ่งประโยค หลังจากเก็บแผ่นค่ายกลเข้าไปแล้ว ก็หลับตาทั้งคู่ลงอีกครั้ง
เวลาที่เหลือเขาไม่ได้เข้าไปในห้องว่างเปล่าลึกลับอีก แต่กลับนั่งเข้าฌานอย่างเงียบๆ เพื่อฟื้นฟูพลังจิตและพลังเวทให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด
ตอนบ่ายในอีกสามวันต่อมา หลังจากหลิ่วหมิงตรวจสอบทุกอย่างที่อยู่ในแหวนย่อส่วน และมั่นใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาดแล้ว ก็ขี่เมฆไปยังสถานที่ที่ทั้งสองนัดกันไว้ในก่อนหน้า
หนึ่งชั่วยามต่อมา หลิ่วหมิงก็มาถึงบนยอดเขาเล็กๆ ที่ห่างไกลผู้คนอีกครั้ง จินเทียนชื่อกำลังนั่งอยู่บนหินข้างค่ายกล พอเห็นหลิ่วหมิงมาถึงก็ลุกขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ลำบากพี่จินเฝ้าอยู่ที่นี่มาครึ่งปีแล้ว” พอหลิ่วหมิงลงจากเมฆดำ ก็กุมมือกล่าวกับจินเทียนชื่อ
“ไม่เป็นไร ที่นี่ค่อนข้างเงียบสงบ อีกอย่างการสังเกตปรากฏการณ์ในครึ่งปีมานี้ ก็ได้อะไรมาอยู่” จินเทียนชื่อโบกมือกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
หลังจากทั้งสองสนทนากันอย่างง่ายๆ แล้ว หลิ่วหมิงก็ไปตรวจสอบค่ายกลที่วางไว้ในก่อนหน้าอีกครั้ง และไม่ค้นพบว่ามีอะไรผิดปกติถึงรู้สึกวางใจขึ้นมาจริงๆ
“ตอนนี้เป็นเวลาสายัณห์ ยังเหลือเวลาราวๆ สองชั่วยามกว่าก่อนที่ดวงดาวบนท้องฟ้าจะลงมา พวกเรารออีกสักครู่ก็น่าจะได้แล้ว” จินเทียนชื่อมองดูท้องฟ้าที่มืดมนในระยะไกลๆ แล้วกล่าวอย่างมีแผนในใจ
หลิ่วหมิงย่อมไม่มีข้อคัดค้านใดๆ จากนั้นก็ไปหาสถานที่สะอาดๆ นั่งรอคอยอย่างเงียบๆ
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ดวงดาวบนท้องฟ้าก็ค่อยๆ ปรากฏออกมา เวลาสองชั่วยามผ่านไปภายในพริบตา
หลิ่วหมิงแหงนหน้ามองท้องฟ้า และหรี่ทั้งคู่ลงอย่างอดไม่ได้
มองจากมุมนี้ ดูเหมือนว่าดวงดาวที่ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้ายามค่ำคืนนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ครึ่งปีก่อนจะสามารถเปรียบเทียบได้ แม้กระทั่งยังเปล่งประกายกว่าดวงดาวที่ดวงตามายาปีศาจสร้างขึ้นมามาก
เห็นได้ชัดว่าวิชาโหราศาสตร์ของจินเทียนชื่อผู้นี้ ไม่ใช่ว่า ‘รู้เพียงเล็กน้อย’ อย่างที่เขาพูดแล้ว
ขณะนั้นเอง คำพูดของจินเทียนชื่อที่อยู่ด้านข้าง ก็ขัดความคิดของหลิ่วหมิงทันที
“พี่หลิ่ว ได้เวลาพอประมาณแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็เริ่มกันเถอะ” หลิ่วหมิงดึงสติกลับมาก่อนตอบกลับไป
จินเทียนชื่อเดินไปด้านหนึ่งของค่ายกลโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง และโบกแขนเสื้อบ่งบอกให้หลิ่วหมิงเข้าไปในด้านใน
หลิ่วหมิงพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็เดินเข้าไปนั่งขัดสมาธิกลางค่ายกล และนำวัสดุออกมาวางไว้ด้านหน้า
จินเทียนชื่อก็ทำท่ามือด้วยมือทั้งสอง และปล่อยแสงสีทองออกมา ธงเล็กรอบๆ ค่ายกลส่งเสียงดัง “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” และเปล่งแสงสีทองจางๆ
หลังจากกระตุ้นธงค่ายกลที่วางไว้นานครึ่งเดือนแล้ว สีหน้าของจินเทียนชื่อก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปในฉับพลัน ดูเหมือนว่าจะมีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง พอนับนิ้วดูแล้วก็โบกมือไปยังทิศทางบางแห่ง ธงค่ายกลอันหนึ่งสั่นไหวเบาๆ จากนั้นก็พุ่งขึ้นจากพื้น และปักลงบนพื้นที่ห่างออกไปราวๆ ครึ่งชุ่น
ขณะเดียวกัน ดูเหมือนว่าแสงแวววาวที่ค่ายกลเปล่งออกมาจะสว่างขึ้นอีกเล็กน้อย
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา แต่ก็กลับมามีสีหน้าปกติอย่างรวดเร็ว
จินเทียนชื่อปล่อยพลังใส่ค่ายกลอยู่หลายสาย และธงค่ายกลทั้งสามสิบหกก็เปล่งประกายแสงสีทองจางๆ
จากนั้นเขาก็ชี้ไปบนท้องฟ้า ไหมแสงเป็นเส้นๆ ที่ไม่อาจมองเห็นได้รวมตัวเข้าหาค่ายกลอย่างต่อเนื่อง
อากาศเหนือค่ายกลมีแสงแวววาวปรากฏออกมาจำนวนมาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา