จะเห็นว่าจินเทียนชื่อถือแผ่นค่ายกลเดินวนพื้นที่ว่างเปล่าไปหลายรอบ และเงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืนอยู่เป็นระยะๆ พร้อมกับร่ายคาถาออกมา
ไม่นานเขาก็หยิบพู่กันหยกออกมาด้ามหนึ่ง และเริ่มวาดภาพบนพื้น
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป ชายหนุ่มชุดคลุมสีทองถึงสร้างสัญลักษณ์ที่ดูซับซ้อนอย่างถึงขีดสุดออกมาได้อันหนึ่ง พอมองลงไปจะเห็นว่ามันดูล้ำลึกมาก ทั้งยังดูไม่คล้ายอักขระ และไม่เหมือนสัญลักษณ์ด้วย
พอจินเทียนชื่อยกแขนเสื้อขึ้น ธงเล็กสีทองอันหนึ่งก็พุ่งออกมา และปักลงบนสัญลักษณ์ที่อยู่บนพื้น
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสิ้น เขาก็ถือแผ่นค่ายกลไปยังพื้นที่อีกแห่งที่อยู่ไม่ไกล และใช้ปากกาหยกวาดต่อ
หลังจากทำเช่นนี้อยู่หลายครั้ง หลิ่วหมิงก็แสดงสีหน้าเข้าใจขึ้นมา
ที่แท้ธงเล็กสีทองแต่ละอัน ต่างก็ตอบสนองต่อสัญลักษณ์บนพื้นแต่ละอัน และเห็นได้อย่างชัดเจนว่าสัญลักษณ์แต่ละอันต่างก็ไม่เหมือนกัน
ผ่านไปครึ่งค่อนวัน จินเทียนชื่อถึงวางค่ายกลทั้งหลังเสร็จ
เป็นอย่างที่หลิ่วหมิงคิดไว้ หลังจากธงเล็กสีทองสามสิบหกอัน ตอบสนองตำแหน่งสัญลักษณ์ทั้งสามสิบหกของค่ายกลแล้ว มันก็ก่อตัวเป็นค่ายกลยักษ์หลังหนึ่งพอดี
ขณะนี้เป็นเวลากลางคืนพอดี ดวงดาวบนท้องฟ้าเป็นประกายระยิบระยับ จะได้ลองกระตุ้นค่ายกลดูว่ามีอะไรผิดพลาดหรือไม่
หลิ่วหมิงย่อมไม่มีข้อคัดค้านแต่อย่างใด
จินเทียนชื่อลุกไปยืนข้างค่ายกลทันที มือทั้งสองทำท่ามืออยู่ไม่หยุด พลังเวทหลายสายค่อยๆ จมลงไปในธงค่ายกลทั้งสามสิบหก
“ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” เกิดเสียงดังติดต่อกัน
สัญลักษณ์แต่ละอันค่อยๆ เปล่งแสงออกมา ไม่นานสัญลักษณ์ทั้งสามสิบหกก็ถูกจินเทียนชื่อทำให้สว่างขึ้นมาจนหมด
ขณะเดียวกัน มือทั้งสองของจินเทียนชื่อก็ทำท่ามืออยู่ตรงหน้าอก จากนั้นก็ชี้ขึ้นฟ้า และร่ายคาถาออกมา
หลังจากธงค่ายกลทั้งสามสิบหกเปล่งแสงออกมา มันก็ขยายใหญ่ตามแรงลมจนมีขนาดหลายจั้ง ขณะเดียวกัน สัญลักษณ์ที่อยู่รอบด้านก็เปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง เกิดเสียงแหลมดังตรงกลางค่ายกล ลำแสงสีทองสลัวๆ พุ่งขึ้นฟ้า และกะพริบหายไปกลางอากาศอย่างไร้ร่องรอย
ขณะนี้ จินเทียนชื่อค่อยๆ เดินไปรอบๆ ค่ายกลอย่างต่อเนื่อง ปากของเขาร่ายคาถาอย่างต่อเนื่อง และชี้มือไปกลางอากาศอยู่ไม่หยุด
ฉากอันน่าแปลกใจได้เกิดขึ้นแล้ว!
จะเห็นว่าธงยักษ์สามสิบหกอันที่อยู่ท่ามกลางเสียงดังหวึ่งๆ เริ่มสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง ราวกับว่าอยู่ภายใต้แรงกดดันบางอย่างที่ไม่อาจบรรยายได้
ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มชุดคลุมสีทองก็ชี้ไปบนท้องฟ้าอันมืดมิด และแสงดาราก็ค่อยๆ ปรากฏออกมา จากนั้นก็พากันร่วงลงมาราวกับว่าถูกพลังบางอย่างดึงดูด และถูกดูดเข้าไปในค่ายกลอย่างแม่นยำ
ไม่นาน ค่ายกลใต้เท้าจินเทียนชื่อก็เปล่งแสงแวววาวอยู่ไม่หยุด พอมองไกลๆ ทำให้เห็นราวกับว่าเขาอยู่ท่ามกลางดวงดาว
หลิ่วหมิงจ้องมองฉากตรงหน้าด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
สถานที่แห่งนี้ก็ได้เลือกแล้ว ค่ายกลนี้ก็ได้ดูดพลังของดวงดาวมาแล้ว แต่ดูจากแสงที่เปล่งออกมาเหล่านี้ ดูเหมือนว่าความเข้มข้นของมันไม่เหมือนกับที่บันทึกไว้ในคัมภีร์
“พี่หลิ่ว ดูท่าค่ายกลแสงดาราคงจะวางเช่นนี้ไม่มีผิด แต่เวลาในวันนี้มันไม่ใช่ ดังนั้นพลังที่ดึงดูดมาจึงมีไม่มาก พลังดวงดาวแค่นี้ไม่อาจช่วยท่านหลอมกระบี่บินได้” ขณะที่หลิ่วหมิงรู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อยนั้น จินเทียนชื่อก็เอ่ยปากออกมา
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” ขณะนี้หลิ่วหมิงถึงเข้าใจในฉับพลัน
“ข้ารู้วิชาโหราศาสตร์เล็กน้อย สามารถคาดเดาได้ว่าพลังของดวงดาวมีความแข็งแกร่งเมื่อใด พี่หลิ่วโปรดรอสักครู่”
พอกล่าวจบ จินเทียนชื่อก็เก็บแผ่นค่ายกลบนมือ และสะบัดแขนเสื้อ จากนั้นแผ่นค่ายกลแปลกประหลาดสีฟ้าแวววาวก็ถูกโยนไปกลางอากาศเบาๆ
เขาปล่อยพลังเวทใส่เข้าไปติดต่อกัน แผ่นค่ายกลขนาดฉื่อกว่าๆ หมุนติ้วๆ กลางอากาศ ทันใดนั้น แสงดาราเป็นจุดๆ ก็ปรากฏออกมาบนนั้น ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับดวงตาที่ปกคลุมเต็มท้องฟ้า
จินเทียนชื่อขมวดคิ้วเล็กน้อย มือของเขาทำท่ามืออยู่ไม่หยุด ปากก็ร่ายคาถาออกมาราวกับกำลังคำนวณอะไรบางอย่างอยู่
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป เขาถึงสะบัดแขนเสื้อเก็บแผ่นค่ายกลกลางอากาศด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายลง และหันมากล่าวกับหลิ่วหมิง
“พี่หลิ่ว หลังจากข้าคำนวณดูแล้ว อีกครึ่งปีให้หลังถึงจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในหนึ่งปี ซึ่งเป็นเวลาที่ค่ายกลนี้สามารถดูดพลังแสงดาราได้มากที่สุด”
“ครึ่งปี?” หลิ่วหมิงได้ยินก็ขมวดคิ้วขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าจะต้องใช้เวลานานขนาดนี้
แต่คัมภีร์ในก่อนหน้านั้นเคยกล่าวถึงอยู่ว่า พลังมากน้อยของแสงดารามีส่วนเกี่ยวข้องกับความสำเร็จในการหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่ พลังแสงดารายิ่งมาก ร่างตัวอ่อนกระบี่ก็ยิ่งแสดงอานุภาพได้มาก
“เอาเถอะ! ครึ่งปีก็ครึ่งปี พอถึงเวลานั้นคงต้องรบกวนพี่จินแล้ว” หลิ่วหมิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็พยักหน้าออกมา
เวลาต่อมา จินเทียนชื่อแสดงท่าทีเต็มใจที่จะเฝ้าอยู่ที่นี่ เพื่อป้องกันการถูกคนอื่นครอบครอง และจะได้ตรวจสอบการโคจรของดวงดาวอยู่ตลอดเวลา เพื่อหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ที่ไม่คาดคิดในระหว่างเวลานี้
หลิ่วหมิงย่อมไม่มีท่าทีคัดค้านใดๆ หลังจากพูดจาอย่างสุภาพไปไม่กี่ประโยคแล้ว ก็ทำท่าเคล็ดกระบี่ และเหยียบกระบี่เล็กสีเขียวพุ่งกลับไปยังถ้ำที่พัก
สำหรับเขาแล้ว เลื่อนเวลาออกไปครึ่งปีก็ดีเหมือนกัน จะได้อาศัยดวงตามายาปีศาจเข้าไปในแดนมายา จำลองพลังแสงดาราในการหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่
หลังกลับถึงถ้ำที่พัก หลิ่วหมิงก็เดินตรงเข้าไปในห้องลับทันที และนั่งขัดสมาธิลงบนเบาะสีเหลืองกลมๆ ตรงกลางห้อง
จากนั้นก็ปล่อยจิตกวาดดูแหวนย่อส่วน หลังจากมั่นใจว่าวัสดุสำหรับหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่ยังอยู่ครบแล้ว เขาก็ค่อยๆ ใส่พลังเวทเข้าไปในแผ่นศิลาหุนเทียนตรงทะเลจิตรับรู้ หลังจากมีเสียงดังหวึ่งข้างหู เขาก็มาปรากฏตัวในห้องว่างเปล่าลึกลับอีกครั้ง และมองเห็นหลัวโหวนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ศิลาหุนเทียน
“ผู้อาวุโสหลัวโหว” หลิ่วหมิงก้าวเข้าไปคารวะ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา