ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 663

สรุปบท ตอนที่ 663 ตลาดเหมียวจง: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

ตอน ตอนที่ 663 ตลาดเหมียวจง จาก ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

ตอนที่ 663 ตลาดเหมียวจง คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 663 ตลาดเหมียวจง
ตอนที่ 663 ตลาดเหมียวจง
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากหลิ่วหมิงรับภารกิจเสร็จแล้ว ก็ไม่อยู่ที่นี่นานอีกต่อไป ไม่นานก็หมุนตัวออกจากหอลี้ลับอย่างรวดเร็ว และไปรวบรวมวัตถุดิบเสริมของโอสถแฝงจิตวิญญาณเป็นจำนวนมากที่ตลาดในนิกายอีกครั้ง

หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสิ้น เขาก็ส่งข่าวบอกอินจิ่วหลิงที่เป็นอาจารย์ของเขาว่า ตนเองจำต้องไปจากนิกายเป็นเวลานาน เพราะทำภารกิจสะสมแต้มคุณูปการ จากนั้นก็เขาออกไปจากเทือกเขาหมื่นวิญญาณโดยใช้ค่ายกลส่งตัวของนิกาย

เป้าหมายแท้จริงของการออกไปข้างนอกในครั้งนี้ ก็เพื่อแสวงหาวัตถุดิบหลักในการปรุงโอสถแฝงจิตวิญญาณ ที่รับภารกิจระยะยาวนั้นเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อออกไปข้างนอกเท่านั้น

หลังจากเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว พลังของโอสถผลึกเย็นไม่เพียงพอสำหรับการฝึกฝนของเขาอีกต่อไป มีเพียงแค่วิธีการปรุงโอสถแฝงจิตวิญญาณออกมาจำนวนมาก ถึงจะเพิ่มพลังเวทได้อย่างรวดเร็ว

ของเหลวห้าแสงที่เป็นวัตถุดิบหลักของโอสถแฝงจิตวิญญาณ เป็นผลิตผลพิเศษในพื้นที่วุ่นวายทางตอนใต้สุดของแผ่นดินจงเทียน ไม่เพียงแต่อยู่ห่างจากเทือกเขาจิตวิญญาณมาก ทั้งยังเป็นพื้นที่ที่เผ่าภูติผีผลุดๆ โผล่ๆ อยู่บ่อยๆ

แม้แต่ความสามารถของหลิ่วหมิงในตอนนี้ หากไปสถานที่แห่งนี้ล่ะก็ ต้องระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก ศิษย์สี่ยอดนิกายใหญ่เสียชีวิตในพื้นที่ป่าเถื่อนทางตอนใต้ไม่น้อย

หลังจากหลิ่วหมิงไปจากเทือกเขาหมื่นวิญญาณแล้ว ก็เดินทางผ่านค่ายกลส่งตัวหรือไม่ก็เหินเวหามุ่งหน้าไปทางใต้อยู่ไม่หยุด

……

สามเดือนต่อมา มีแสงสีทองจางๆ กะพริบออกจากบึงน้ำที่มีไอหมอกแผ่คลุม และร่วงลงบนกิ่งของต้นไม้โบราณที่สูงระฟ้าต้นหนึ่ง

พอแสงสีทองดับลง ก็เผยให้เห็นชายหนุ่มชุดเขียวรูปร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่ง เขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง

ขณะเดียวกัน พลันมีเสียงคำรามมาจากไอหมอกด้านหลังของเขา จากนั้นลมที่ปนไปด้วยกลิ่นคาวก็พัดเข้ามา อสรพิษสีเขียวขนาดใหญ่ตัวหนึ่งกะพริบออกมา มันมีขนาดยาวสิบกว่าจั้ง และพุ่งตรงเข้าหาหลิ่วหมิงอย่างโหดเหี้ยม

หลิ่วหมิงที่ยืนอยู่บนกิ่งไม้ สะบัดแขนเสื้อในทันที ทันใดนั้นไหมสีทองก็กะพริบผ่านไป

“โครม!” หัวอสรพิษสีเขียวถูกตัดออกมา ร่างขนาดมหึมาร่วงลงกลางอากาศ โลหิตสีแดงสาดลงพื้นทำให้พื้นใต้ต้นไม้กว่าครึ่งหนึ่งกลายเป็นสีแดง

“ตู๊ม!” เกิดเสียงดังสนั่น โคลนในบึงสาดกระเด็นไปทั่วทิศ

ขณะนี้ หลิ่วหมิงถึงกวาดสายตามองด้านล่างด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก จากนั้นก็หายวับไปอยู่ข้างศพอสรพิษยักษ์ และนำผลึกโปร่งใสกลมๆ ออกมา ขณะเดียวกันก็ร่ายคาถาและโบกมืออีกครั้ง

หมอกสีเขียวกลมๆ ลอยออกจากหัวอสรพิษยักษ์ และถูกนำเข้าไปในผลึกกลมๆ

ขณะนี้ผลึกกลมๆ กลางอากาศ มีหมอกสีเขียวที่มีลักษณะคล้ายกันลอยออกมาสิบกว่าลูก

หลิ่วหมิงเก็บผลึกกลมๆ ในมือเข้าไป จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง และทะยานขึ้นฟ้าทันที พริบตาเดียวก็พุ่งออกไปไกลๆ

…….

ครึ่งปีต่อมา ท่ามกลางทะเลทรายสีแดงที่ร้อนผะผ่าว และมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด

อสูรจิตวิญญาณสิบกว่าตัวที่ดูคล้ายอูฐกำลังยืนเรียงเป็นแถว และกำลังเดินไปท่ามกลางทะเลทรายอย่างยากลำบาก

อูฐแต่ละตัวต่างก็มีคนนั่งอยู่หนึ่งคน ซึ่งสวมชุดคลุมสีดำทั้งตัว เผยให้เห็นแค่ลูกกะตาเท่านั้น

หนึ่งในนั้นมีแสงแวววาวที่ดูแหลมคมในดวงตาของเขา ดูเหมือนว่ากำลังระแวดระวังภัยอยู่ตลอดเวลา เขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง

ท่ามกลางทะเลทรายสีแดงในขณะนี้ มีพายุพัดอย่างรุนแรง จนก่อเกิดเป็นคลื่นความร้อนผสมปนเปมากับพายุทะเลทราย พออูฐจิตวิญญาณเผชิญหน้ากับพายุทะเลทรายระดับนี้ แสงสีแดงก็เปล่งประกายบนตัวมัน และเดินต้านทานแรงพายุด้วยความยากลำบาก

ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงพลันเงยหน้าขึ้นมา ส่วนมือก็กำบังเหียนไว้แน่น สายตามองไปยังด้านข้าง

คนทั้งสิบก็เหมือนจะมีระดับการฝึกฝนที่ไม่ธรรมดา ครู่เดียวก็ค่อยๆ พากันมองไปยังทิศทางเดียวกันด้วยความรู้สึกระแวดระวัง

ฉากน่าประหลาดใจได้บังเกิดขึ้นแล้ว!

ท่ามกลางทะเลทรายสีแดงที่อยู่ด้านข้าง พลันมีพายุฝุ่นปกคลุมเต็มฟ้า ดูคล้ายกำแพงทรายที่ประชิดเข้าหาพวกเขา ไม่นานก็อยู่ห่างจากพวกเขาแค่สิบกว่าจั้ง

จากนั้นก็มีเสียง “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ท่ามกลางกำแพงทราย มีหนูยักษ์สีเทากระโดดออกมาจำนวนมาก และมันก็อ้าปากกระโจนเข้าหาฝูงอูฐ

หนูสีเทาเหล่านี้มีขนาดพอๆ กับละมั่ง มีฟันแหลมคมสีขาวเต็มปาก ราวกับว่าจะกลืนกินทุกคนเข้าไป

“ระวัง นี่คือหนูกัดศิลา!” กลุ่มคนที่อยู่ด้านหน้าส่งเสียงตะโกนออกมา

และผู้คนที่นั่งอยู่บนอูฐจิตวิญญาณ ก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวกับการถูกโจมตีอย่างกะทันหันนี้ สามารถพูดได้ว่าหนูกัดศิลาเป็นปีศาจอสูรระดับต่ำที่พบเจอได้บ่อยที่สุด ผู้คนที่สัญจรไปมาบ่อยๆ ย่อมพบเห็นจนเคยชิน

ครู่ต่อมา แสงสิบกว่าลำก็เปล่งประกายออกจากฝูงอูฐ และพุ่งเข้าไปในฝูงหนูสีเทาท่ามกลางเสียงลมพายุ

หนูกัดศิลาเป็นแค่ปีศาจอสูรระดับของเหลวชนิดหนึ่ง และในกลุ่มคนเหล่านี้รวมถึงหลิ่วหมิงด้วย ก็มีผู้ฝึกฝนระดับผลึกอยู่สามคน คนอื่นๆ ต่างก็เป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นกลางจนถึงขั้นปลาย มิเช่นนั้นคงไม่กล้าเดินทางในสถานที่ที่มีชื่อเสียงดุร้ายเช่นนี้

แต่ในขณะที่ฝูงหนูสีเทาเหล่านี้กระโจนเข้ามายังไม่ถึงตัวหลิ่วหมิง และคนอื่นๆ นั้น ก็ถูกสกัดไปกว่าครึ่งหนึ่ง

ภายใต้การเคลื่อนไหวนิ้วทั้งสิบของหลิ่วหมิง ปราณกระบี่สีทองก็พุ่งออกไปติดต่อกัน และร่วงลงในฝูงหนูราวกับสายฝน ทันใดนั้นหนูยักษ์สิบกว่าตัวก็ถูกปั่นจนเป็นเนื้อเหลว

หนูกัดศิลาที่เหลือส่งเสียงร้องแหลม ทันใดนั้น มันก็หมุนตัวพุ่งหนีไปอีกทิศทางทันที

หลังจากที่อสูรจิตวิญญาณเหล่านี้แตกสลายไป กำแพงทรายที่โหมซัดสาดเข้ามา ก็แตกกระจายกลายเป็นฝุ่นทรายปกคลุมเต็มฟ้า

สำหรับปีศาจอสูรขั้นต่ำเหล่านี้ ย่อมไม่มีใครอยากจะไล่ล่ามัน หลังจากฝูงอูฐหยุดอยู่พักหนึ่งแล้ว เขาก็เดินหน้าไปต่อ

หลิ่วหมิงตามคนเหล่านี้ไปอย่างช้าๆ ด้วยสีหน้าสงบ

……

ผ่านไปครึ่งปีกว่า ขอบพื้นที่บริเวณทางใต้ของแผ่นดินจงเทียน หลิ่วหมิงกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเรือหยกจันทรา ชุดคลุมสีเขียวโบกสะบัดตามลม และพุ่งผ่านท่ามกลางทะเลหมอกสีเขียวขจีแห่งหนึ่ง

เดิมทีเขาไม่อยากเป็นจุดสนใจของผู้คน แต่ไม่คาดคิดว่ามันจะดึงดูดสายตาผู้ฝึกฝนชนเผ่าท้องถิ่นได้น้อย

ครู่ต่อมา มีเสียงร้องอย่างเวทนาดังขึ้นติดต่อกันในบริเวณรอบๆ ถ้ำ

ชั่วเวลาหนึ่งเค่อผ่านไป นอกถ้ำก็เต็มไปด้วยศพที่นอนอยู่เต็มพื้น ขณะเดียวกันแสงสีทองลำหนึ่งก็พุ่งออกมา และหายไปจากขอบฟ้าอย่างรวดเร็ว

…….

ครึ่งปีต่อมา บริเวณเขาจูหลงที่มีชื่อเสียงในส่วนลึกของดินแดนป่าเถื่อนทางตอนใต้ มีแสงแวววาวพุ่งเข้ามาจากขอบฟ้าที่ไกลๆ

หลังจากแสงม้วนตัวหายไป ก็เผยให้เห็นร่างของหลิ่วหมิงที่ยืนอยู่บนเรือหยก

เขากวาดสายตามองดูกลุ่มภูเขาที่ทอดยาวติดต่อกันอยู่ไกลๆ หลังจากหรี่ตาทั้งคู่ลงแล้ว ก็นำแผ่นหยกมาแปะไว้บนหน้าผาก และนำจิตจมดิ่งลงไปในนั้น

ครู่ต่อมา เมื่อเขาถอนหายใจยาวออกมาแล้ว ก็นำแผ่นหยกออกจากหน้าผาก และกระโดดลงจากเรือหยกทันที

เขาสะบัดแขนเสื้อเก็บเรือหยกเข้าไป หลังจากยืดเส้นยืดสายแล้ว ก็เหยียบเมฆดำพุ่งไปยังขอบเทือกเขา

หากแผนที่ไม่ได้ระบุผิดล่ะก็ ที่นั่นคงจะเป็นเมืองที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่แห่งหนึ่ง

เมืองแห่งนี้เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในบริเวณเขาจูหลงนี้ มันคือตลาดเหมียวจงนั่นเอง

ไม่นานหลิ่วหมิงก็มองเห็นเงาของเมืองจากระยะไกลๆ

ขณะนั้นเอง มีกลุ่มผู้ฝึกฝนขี่อสูรประหลาดที่มีหัวเป็นวัวร่างเป็นม้าเหินเวหาอยู่พอดี ชายหนุ่มชุดคลุมสีขาวที่อยู่ตรงหน้ามีการฝึกฝนแค่ระดับของเหลวขั้นต้น ส่วนคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านหลังกลับมีการฝึกฝนแค่ระดับศิษย์จิตวิญญาณเท่านั้น

ดูจากทิศทางที่พวกเขาไปแล้ว ก็คือตลาดที่อยู่ตรงหน้านั่นเอง

หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กระตุ้นเมฆดำลงไปขวางอยู่ตรงหน้าผู้ฝึกฝนเหล่านี้ และปล่อยพลังกดดันระดับผลึกออกมาอย่างไม่ปิดบัง

หลังจากชายหนุ่มชุดขาวรับรู้ถึงกลิ่นไอของหลิ่วหมิง ก็รีบกระโดดลงจากหลังอสูรด้วยสีหน้าเปลี่ยนไปทันที และโค้งตัวกล่าว

“ผู้อาวุโสขวางทางกะทันหันเช่นนี้ มีเรื่องอะไรให้ข้าน้อยรับใช้หรือ?”

ผู้ฝึกฝนระดับต่ำคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ ก็พากันกระโดดลงมาด้วยสีหน้าร้อนอกร้อนใจ

“พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องตื่นเต้น ข้าไม่ได้มีเจตนาร้าย เพียงแค่พบเจอพวกเจ้าพอดี จึงอยากสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ในตลาดเหมียวจงสักหน่อย” หลิ่วหมิงยืนเอามือไขว้หลัง และกล่าวอย่างราบเรียบ

………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา