“เป็นโอสถแฝงจิตวิญญาณขั้นธรรมดาจริงๆ ด้วย! โอสถนี้มูลค่าสองล้านหินจิตวิญญาณ ไม่ทราบว่าท่านยินดีขายให้ร้านเราหรือไม่ ยังคงขึ้นราคาได้หนึ่งส่วน” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีเทายังคงจ้องมองโอสถในตลับหยกอย่างไม่วางตา
“ราคาก็นับว่าสมเหตุสมผล ในเมื่อผู้อาวุโสมีความจริงใจเช่นนี้ ข้าจะขายโอสถในมือออกไปพร้อมกันเลย” หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองเพียงเล็กน้อย ก็ตกปากรับคำทันที
ดูๆ แล้วร้านนี้คงมีที่มาอยู่บ้าง เช่นนี้ล่ะก็คงสามารถซื้อโอสถในมือเขาเหล่านี้ได้
เทียบกับการขายโอสถแฝงจิตวิญญาณในมือออกไปทีละนิดๆ แล้ว การขายออกไปในครั้งเดียวย่อมเป็นเรื่องที่ประหยัดเวลากว่า
อีกอย่างด้วยระดับพลังของเขาในตอนนี้ ย่อมไม่กลัวว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีความคิดไม่ดีอะไร
ตามราคาที่เถ้าแก่ผู้นี้เสนอมา โอสถแฝงจิตวิญญาณในมือเขาคงขายได้มากถึงยี่สิบล้านหินจิตวิญญาณ มีหินจิตวิญญาณจำนวนนี้ คงเพียงพอสำหรับใช้เข้าร่วมงานประมูลแล้ว
“อ้อ? ไม่……ไม่ทราบว่าในมือท่านมีโอสถแฝงจิตวิญญาณจำนวนกี่เม็ด ร้านเราจะได้ตกลงราคาแล้วซื้อทีเดียว หากมีจำนวนมาก……ร้านเรายังสามารถเพิ่มราคาได้อีกเล็กน้อย” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีเทาได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกอึ้งไปทันที แต่ก็ถามด้วยความดีใจ
หลิ่วหมิงนำยันต์เก็บของออกจากแหวนย่อส่วนมาหลายผืน และขยี้มันพร้อมกัน ทันใดนั้น ตลับหยกแวววาวจำนวนมากกับตลับหยกสีเขียวสองใบก็วางเต็มโต๊ะหิน
พอหลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้อเบาๆ ตลับหยกบนโต๊ะก็ส่งเสียงดัง “ฟู่!” และเปิดออกมาพร้อมกัน
ห้องลึกลับที่ดูกว้างขวาง ถูกแสงทรงกลดสีขาวส่องสว่างขึ้นมา ปรานจิตวิญญาณหนาแน่นลอยวนเวียนอยู่ในห้องลับ และค่ายกลสีเทาขนาดใหญ่บนห้องลับก็เปล่งประกายในทันที และกั้นปราณจิตวิญญาณไว้ด้านใน
“หรือว่าสหายจะเป็นปรมาจารย์ปรุงโอสถ!” ผู้อาวุโสชุดเทาเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกตกตะลึงจนปากอ้าตาค้างขึ้นมาจริงๆ
“เฮ่อๆ! ข้ามีสถานะใดนั้น ดูเหมือนว่าไม่จำเป็นต้องบอก หากไม่ใช่ว่าช่วงนี้ข้าต้องใช้หินจิตวิญญาณเร่งด่วนล่ะก็ คงไม่นำโอสถแฝงจิตวิญญาณมาขายเป็นจำนวนมาก เพราะโอสถที่สามารถเพิ่มทวีพลังเวทระดับผลึกได้นี้ เดิมทีก็เป็นสิ่งของมีมูลค่าที่หาไม่ได้ในตลาดอยู่แล้ว” หลิ่วหมิงไม่ปริปากบอกว่าใช่หรือไม่ใช่
“ข้าพูดจาบุ่มบ่ามไปหน่อย ขอท่านโปรดรอสักครู่ รอข้านับจำนวนโอสถเหล่านี้ก่อน” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีเทายิ้มแก้เขิน จากนั้นก็ทำการตรวจสอบโอสถเหล่านี้ทีละเม็ด
ผ่านไปหนึ่งชั่วยามเต็มๆ ผู้อาวุโสชุดคลุมสีเทาถึงนำโอสถแฝงจิตวิญญาณใส่ลงไปในตลับหยก
“โอสถระดับกลางเจ็ดสิบห้าเม็ด รวมทั้งหมดเป็นสิบหกล้านห้าแสนหินจิตวิญญาณ โอสถขั้นธรรมดาสองเม็ด สี่ล้านสี่แสนหินจิตวิญญาณ ทั้งหมดยี่สิบสองล้านหินจิตวิญญาณเป็นเป็นไง?” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีเทาใช้นิ้วนับอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นถึงเงยหน้ากล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเล็กน้อย
สำหรับหลิ่วหมิงแล้ว เขารู้สึกพอใจกับราคานี้มาก จึงพยักหน้าเบาๆ ด้วยรอยยิ้ม
“ขอท่านโปรดรอสักครู่” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีเทาเห็นหลิ่วหมิงตอบตกลงเช่นนี้ ก็แอบโล่งใจไปเปราะหนึ่ง จากนั้นก็รีบเดินไปยังประตูด้านหลังห้องลับ
พอเขาปล่อยพลังใส่ประตูบานนี้ แสงสีขาวก็เปล่งประกายบนประตู และร่างของเขาก็หายไปจากห้องลับ
หลิ่วหมิงนั่งรออยู่ที่เดิมเงียบๆ ด้วยสีหน้าสงบ ตอนที่เขาเข้ามาในร้านแห่งนี้ ได้ปล่อยจิตสำรวจดูจนทั่วแล้ว ไม่ค้นพบว่ามีผู้ฝึกฝนระดับผลึกขึ้นไปอยู่เลย จึงไม่ต้องกังวลอะไรมาก
ครู่ต่อมา แสงสีขาวเปล่งประกายบนประตูอีกครั้ง ผู้อาวุโสชุดคลุมสีเทาถือถุงที่ใส่หินจิตวิญญาณจนเต็มมาปรากฏตัวในห้องลับ
หลิ่วหมิงรับถุงผ้ามา พอใช้จิตกวาดดูและมั่นใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาดแล้ว ก็พยักหน้าก่อนเก็บมันเข้าไปในแหวนย่อส่วนอย่างไม่ลังเล
“หากท่านยังมีโอสถชนิดนี้ หวังว่าจะนำมาขายให้กับร้านเราอีก ร้านเราจะรับซื้อทั้งหมด และยังสามารถช่วยท่านซื้อวัตถุดิบจำนวนหนึ่งที่ใช้ปรุงโอสถได้ ราคาก็ต้องพิเศษกว่าร้านอื่นอย่างแน่นอน” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีทองเก็บโอสถทั้งหมดอย่างระมัดระวัง ทันใดนั้นก็มองหลิ่วหมิงด้วยสายตาแวววาว และกล่าวด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง
“เถ้าแก่ล้อข้าเล่นแล้ว โอสถแฝงจิตวิญญาณเหล่านี้ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าทุ่มเทพลังไปตั้งเท่าไหร่ถึงค่อยๆ หลอมมันออกมาได้ แต่หากภายหลังข้ามีอีกล่ะก็ จะต้องมาเยือนร้านท่านอย่างแน่นอน” หลิ่วหมิงหัวเราะฮ่าๆ! แล้วกล่าวอย่างคลุมเครือ
แม้ผู้อาวุโสชุดคลุมสีเทาจะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่ได้ยินเช่นนี้ แต่ก็ไม่อาจถามอะไรมากได้ หลังจากพูดจากับหลิ่วหมิงอย่างเป็นพิธีรีตองอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ก็ส่งเขาออกจากร้าน
หลังจากหลิ่วหมิงเดินออกจากร้านแล้ว ก็ถอนหายใจเบาๆ แต่พอกวาดจิตดูยี่สิบล้านหินจิตวิญญาณในแหวนย่อส่วนแล้ว ก็ยังคงรู้สึกเบิกบานใจอยู่พักหนึ่ง
เท้าของเขาไม่หยุดเดินเลยแม้แต่น้อย ไม่นานก็หายไปบนท้องถนน
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป ในตรอกเล็กๆ ที่ไร้ผู้คนแห่งหนึ่ง พลันมีเสียงข้อต่อกระดูกดังเปรี๊ยะๆ
ไม่นาน ชายฉกรรจ์หน้าดำผู้หนึ่งก็เดินอกผายออกมา หลังจากเลี้ยวไปเลี้ยวมาอยู่ครู่หนึ่ง ก็มาถึงบริเวณทางออกตลาด
เขาสะบัดแขนเสื้อปล่อยเรือหยกแวววาวออกมา และกระโดดขึ้นไปบนนั้น
หลังจากพายุบ้าระห่ำก่อตัวด้านข้างเรือเหาะแล้ว มันก็กลายเป็นกลุ่มแสงแวววาวพุ่งออกไป
เรือเหาะนี้ก็คือเรือเหาะหยกจันทราที่เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดชิ้นนั้น ชายฉกรรจ์หน้าดำก็คือหลิ่วหมิงที่ปลอมตัวมานั่นเอง
ครึ่งเดือนต่อมา หลิ่วหมิงซื้อของเหลวห้าแสงคุณภาพสูงจากร้านค้าสองสามร้านในตลาดเหมียวจงมายี่สิบกว่าขวด และซื้อวัสดุเสริมจากร้านค้าต่างๆ จากนั้นก็กลับไปเก็บตัวปรุงโอสถในห้องลับที่เช่าอยู่ในโรงเตี๊ยม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา