เวลาต่อมา เขาก็นั่งสมาธิอยู่ในที่พักเพื่อสะสมพลัง
ครึ่งเดือนต่อมา เขาปลอมตัวเป็นบัณฑิตผู้หนึ่ง และออกจากที่พักไปอีกครั้ง
เขาไปรับหน้ากากวานรยักษ์ที่ร้านหลอมอาวุธก่อน แม้ว่ามันจะเป็นแค่อาวุธจิตวิญญาณระดับกลาง ซึ่งไม่มีประโยชน์อะไรกับหลิ่วหมิงในตอนนี้ แต่เพื่อร่วมมือกับการปกปิดกลิ่นไอของเคล็ดวิชาภาพสัญลักษณ์และรูปโฉม เขาจึงจำเป็นต้องใช้ของสิ่งนี้
เวลาต่อมา หลิ่วหมิงนำแผนที่เทือกเขาจูหลงมากวาดสายตาดู จากนั้นก็ตรงออกไปจากตลาด และสวมหน้ากากวานรยักษ์ขี่เมฆดำเหาะไปยังจุดรวมตัวบนเขาบางแห่งที่อยู่ริมเทือกเขาจูหลง
ครึ่งวันต่อมา มีแสงสีทองพุ่งเข้ามาบนยอดเขาหัวโล้นบางแห่งที่อยู่บริเวณเทือกเขาจูหลง พอแสงดับลงก็เผยให้เห็นร่างของบัณฑิตชุดคลุมสีเทาที่สวมหน้ากากวานรยักษ์อยู่ ซึ่งก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
บนยอดเขาในขณะนี้ มีเงาร่างสี่เงายืนคุมเชิงกันอยู่ห่างๆ และไม่มีใครพูดอะไรออกมา
หญิงกระโปรงดำรูปร่างสูงยาวผู้หนึ่ง ถูกผ้าคลุมหน้าสีดำปิดไว้ครึ่งหน้า
ชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลสวมผ้าคลุมเสือดาว แต่กลับใส่หน้ากากหัวโคอัปลักษณ์
ส่วนอีกสองคนก็ใช้วิธีการบางอย่างปิดบังใบหน้าไว้ คนที่มีรูปร่างผอมบางคงเป็นหญิงผู้หนึ่ง นางสวมหมวกคลุมใบหน้า ดูเหมือนว่าจะสกัดกั้นจิตรับรู้ได้ ส่วนอีกคนสวมชุดคลุมสีเขียว บริเวณใบหน้าของเขามีไอหมอกสีเทาจางๆ ลอยวนเวียนอยู่ ทำให้ไม่อาจมองเห็นใบหน้าที่ชัดเจนของเขาได้
ดูจากกลิ่นไอที่คนเหล่านี้แผ่ออกมา หญิงที่ใช้ผ้าคลุมใบหน้าผู้นั้น มีระดับการฝึกฝนสูงสุด ดูเหมือนว่าใกล้จะเข้าถึงระดับแก่นแท้ขั้นกลางแล้ว และอีกสามคนก็ดูเหมือนจะอยู่ที่ระดับแก่นแท้ขั้นต้น
การเคลื่อนไหวของพันธมิตรหมาป่าในครั้งนี้เป็นอย่างที่หลิ่วหมิงคาดการณ์ไว้ และมันก็ไม่ง่ายเลย อย่างที่รู้ว่าผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้นั้น แม้แต่ในนิกายยอดบริสุทธิ์ก็เป็นผู้อาวุโสยอดเขาหรือศิษย์ลับแล้ว
แต่สถานที่แห่งนี้กลับมีปรากฏออกมาถึงสี่คน คิดว่าคนเหล่านี้คงมีสถานะสูงส่งในแต่ละกลุ่มอิทธิพลอย่างแน่นอน
หลังจากหลิ่วหมิงลังเลเล็กน้อยแล้วก็กระโดดลงจากเมฆดำ
คนทั้งสี่บนยอดเขาย่อมค้นพบหลิ่วหมิงตั้งแต่แรกแล้ว ในขณะที่หลิ่วหมิงปรากฎตัว จิตรับรู้ของคนทั้งสี่ก็กวาดลงบนตัวของเขา และต่างก็เผยสีหน้าประหลาดใจอย่างอดไม่ได้
ดวงตาของหญิงที่ใช้ผ้าปิดคลุมใบหน้าเป็นประกายสองสามที จากนั้นก็เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงที่ดูแหบแห้งเล็กน้อย
“ท่านก็เป็นคนของพันธมิตรหมาป่า ได้นำสิ่งของยืนยันมาหรือไม่?”
หลิ่วหมิงได้ยินก็สะบัดแขนเสื้อโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง จากนั้นเหรียญทองแดงเหรียญหนึ่งก็พุ่งออกมา
แขนของหญิงที่ปิดคลุมใบหน้าพร่ามัวอยู่ครู่หนึ่ง พอคว้าไปกลางอากาศ เหรียญทองแดงก็พุ่งเข้ามาในมือของนาง “ฟิ้ว!” นางใช้นิ้วสีขาวคีบเหรียญไว้ และตรวจสอบดูอย่างละเอียด จากนั้นก็สังเกตดูหลิ่วหมิงอีกที ทันใดนั้นนางก็ยกแขนอีกข้างชี้ไปบนอากาศ
“ฟิ้ว!”
ลำแสงสีดำพุ่งออกจากปลายนิ้ว และทะลุผ่านหน้าอกของหลิ่วหมิง
หลังจากแสงสีดำทะลุผ่านไป ร่างหลิ่วหมิงก็พร่ามัวหายไปจากที่เดิม ที่แท้ก็เป็นแค่เงาร่างเท่านั้น
“ท่านเห็นสิ่งของยืนยันแล้วยังลอบโจมตีเช่นนี้ หมายความว่าอย่างไรกัน?” น้ำเสียงราบเรียบดังมาจากด้านหลังหญิงที่ปิดคลุมใบหน้า ซึ่งเขาก็คือหลิ่วหมิงที่ปรากฏตัวราวกับปีศาจ และค่อยๆ กล่าวออกมาทีละคำ
“ข้าน้อยฮวาชิงอิ่ง เป็นคนที่เรียกรวมตัวในครั้งนี้ เนื่องจากไม่อาจรับรู้ระดับการฝึกฝนของท่านได้ จึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้จึงลงมือทดสอบดู คิดไม่ถึงว่าวิชาซ่อนเร้นของสหายจะโดดเด่นเช่นนี้ ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่ ขอท่านโปรดให้อภัย แต่เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนอื่นแอบปะปนเข้ามา สหายคนอื่นๆ ที่เพิ่งมาถึงก็ถูกข้าน้อยทดสอบด้วยเช่นกัน” หญิงใส่ผ้าปิดคลุมใบหน้าหันมากล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จะละเว้นให้ครั้งนี้เป็นครั้งเดียว ขอถามหน่อยข้าน้อยมีสิทธิ์เข้าร่วมกระบวนการในครั้งนี้แล้วหรือยัง?” พอหลิ่วหมิงได้ยิน ประกายแวววาวในดวงตาก็ดับลง และเอ่ยปากถามออกมา
“ย่อมเป็นเช่นนั้น! สหายสามารถหลบหลีกการโจมตีได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ จะต้องเป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ว่าตอนนี้ยังห่างจากเวลาที่นัดหมายราวๆ หนึ่งชั่วยาม สหายพักผ่อนสักครู่ หากถึงเวลาแล้วยังไม่มีคนมา พวกเราทั้งห้าก็เริ่มกระบวนการพร้อมกัน” หญิงใส่ผ้าคลุมหน้าตอบอย่างไม่ลังเล
พูดจบนางก็โยนเหรียญทองแดงสีม่วงคืนให้หลิ่วหมิง ส่วนตนเองก็หันไปมองขอบฟ้าที่อยู่ไกลๆ
หลังจากหลิ่วหมิงเก็บเหรียญเข้าไปแล้ว ก็ไปหาที่ว่างนั่งสมาธิโดยไม่สนใจคนอื่นๆ อีก
หลังจากหญิงใส่ผ้าคลุมหน้ายืนยันสถานะของหลิ่วหมิงแล้ว คนที่เหลือก็ละสายตากลับไป และยังคงรอคอยอย่างเงียบๆ โดยไม่ปริปากบ่นอะไรอีก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา