หลิ่วหมิงหยุดทำท่ามือและรวมร่างเป็นหนึ่งกับกระบี่ยักษ์ในทันที จากนั้นก็กระตุ้นแสงกระบี่สีทองให้พุ่งลงไปด้านล่างโดยตรง และแสงสีทองที่เปล่งประกายเจิดจ้าก็กวาดไปท่ามกลางฝูงอสูรทราย
พอเห็นฉากเช่นนี้ ซาฉู่เอ๋อร์ก็เผยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย หลังจากอึ้งไปครู่หนึ่งแล้ว ก็ลุกขึ้นมาม้วนตัวเป็นฝุ่นทรายพุ่งลงด้านล่าง และเข้าร่วมต่อสู้อย่างดุเดือด
คนเผ่าทรายระดับผลึกหลายคน ก็กลายเป็นทรายม้วนตัวลงไปด้านล่างอย่างบ้าคลั่ง ทันใดนั้น ฝูงอสูรที่อยู่ด้านล่างก็เกิดความโกลาหลขึ้นมา ทำให้คนเผ่าทรายที่อยู่บนกำแพงลดความกดดันไปได้มาก
“แย่แล้ว! รีบไปรายงานท่านผู้เฒ่า มีอสูรทรายร่างยักษ์ปรากฏตัวออกมาแล้ว” คนเผ่าทรายที่ยืนอยู่บนที่สูงของกำแพงเพื่อสังเกตการณ์โดยเฉพาะตะโกนออกมาในฉับพลัน
ขณะเดียวกัน พลันมีเสียงดัง “โครมคราม!” มาจากด้านหลังฝูงอสูรทราย พอมองออกไป จะเห็นว่ามียอดเขาทรายขนาดใหญ่ที่สูงร้อยกว่าจั้งกำลังเคลื่อนตัวมาทางเมืองอย่างช้าๆ
ขณะเดียวกัน พลังกดดันจิตวิญญาณก็แผ่ออกจากยอดยอดเขาทราย สามารถรับรู้ได้ถึงกลิ่นไอระดับแก่นเสมือนอยู่ลางๆ
คนเผ่าทรายบนกำแพงเห็นเช่นนี้ ก็เผยสีหน้าหวาดกลัวขึ้นมาทันที
“พี่หลิ่ว รีบไป! อสูรทรายร่างยักษ์ตัวนี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเรา” ซาฉู่เอ๋อร์ที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มการต่อสู้หน้าเมือง มองดูยอดเขาทรายทีหนึ่ง จากนั้นก็ส่งเสียงให้หลิ่วหมิงด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที หลังจากกดดันหมาไนทรายตรงหน้าจนล่าถอยออกไปแล้ว นางก็ม้วนตัวเป็นพายุทรายถอยขึ้นไปบนกำแพง
พอหลิ่วหมิงนึกถึงขนาดกองทรายที่กลายร่างเป็นหมาไนทรายธรรมดาในก่อนหน้า ก็ต้องสูดหายใจด้วยความเย็นสะท้าน ทันใดนั้นเขาก็กระตุ้นกระบี่บินม้วนตัวกลับขึ้นไปบนกำแพงทันที หลังจากสับหมาไนทรายบริเวณนั้นเป็นชิ้นๆ แล้ว แสงกระบี่ถึงดับลงเผยให้เห็นร่างจริงของเขา และจ้องมองสถานการณ์ที่อยู่ไกลๆ
ขณะนั้นเอง ชายเผ่าทรายระดับผลึกหลายคนที่ลงไปต่อสู้ด้านล่าง ก็พากันถอยกลับมาอย่างรวดเร็ว
พริบตาเดียว ยอดเขาทรายก็เคลื่อนตัวมาอยู่ห่างจากกำแพงเมืองสามสิบกว่าจั้งแล้ว ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงมองทะลุหมอกทรายสลัวๆ ไปเห็นรูปร่างหน้าตาที่แท้จริงของอสูรทรายร่างยักษ์
อสูรยักษ์เป็นสีเหลืองทั้งตัว รูปร่างภายนอกไม่เหมือนกับหมาไนทรายเลยแม้แต่น้อย มันอาศัยขาหลังขนาดใหญ่ค้ำยันร่างไว้ราวกับคนทั่วไปที่ใช้ขาเดิน และขาหน้าทั้งคู่เมื่อเทียบกับร่างของมันแล้วดูสั้นอย่างเห็นได้ชัด ขณะเดียวกัน ร่างของมันก็ถูกปกคลุมไปด้วยหนามอันแหลมคม ตรงก้นยังมีหางยาวสีเหลืองที่เต็มไปด้วยหนามแหลมเช่นกัน
อสูรตัวนี้มีตาสามดวง สองดวงติดอยู่บนฝ่ามือ ดวงที่สามติดอยู่บนหัว ตาแต่ละดวงมีขนาดใหญ่เท่าแผ่นโม่ ในขณะที่วิ่งไปด้วย มันก็มองรอบด้านอยู่ไม่หยุด แลดูแปลกประหลาดยิ่งนัก
หลังจากมีเสียงบัญชาการดังขึ้นบนกำแพง หอกทรายสีดำแน่นขนัดก็เขวี้ยงลงไปอย่างบ้าคลั่ง เป้าหมายคืออสูรทรายร่างยักษ์ตัวนี้
หลังจากมีเสียงระเบิดดังตู๊มต๊ามอยู่ครู่หนึ่ง หมอกดำที่กลายร่างมาจากหอกทรายก็ปกคลุมอสูรยักษ์ไว้
แต่ครู่ต่อมาก็มีเสียงคำรามดังขึ้น อสูรทรายขนาดใหญ่วิ่งออกจากหมอกทรายอย่างบ้าคลั่ง และพุ่งเข้าหากำแพงทันที โดยที่ไม่มีบาดแผลใดๆ บนร่างของมันเลย
หมาไนทรายที่อยู่บริเวณนั้นเห็นเช่นนี้ ก็ส่งเสียงหอนและถอยออกไปสองข้างเพื่อเปิดทางให้อสูรทรายร่างยักษ์
ครู่เดียว อสูรทรายร่างยักษ์ก็พุ่งมาอยู่ห่างจากประตูเมืองไม่ไกล ทันใดนั้นมันก็สะบัดหัวขนาดใหญ่ และอ้าปากพ่นของเหลวสีเขียวที่ส่งกลิ่นเหม็นคาวออกมา พริบตาเดียว ก็โจมลงบนปีกกาแห่งหนึ่งบนกำแพงเมือง
“ฟู่ๆ!” ฉากอันน่าตกใจได้บังเกิดขึ้นแล้ว
บริเวณที่ของเหลวสีเขียวหล่นใส่ ดินทรายที่ดูแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบมิได้ก็ค่อยๆ สลายตัวเป็นควันสีเขียว
“ไม่ดี! รีบหลบไป”
ผู้เฒ่าเผ่าทรายหลายคนที่มีประสบการณ์มาก่อนเห็นเช่นนี้ ก็รีบตะโกนบอกให้คนที่อยู่รอบข้างหลบออกไป
“ตู๊ม!”
กำแพงเมืองบริเวณนั้นพังทลายลงมา ผู้ฝึกฝนเผ่าทรายสองคนที่กำลังต่อสู้กับหมาไนทรายอยู่หลบหนีไม่ทัน จึงถูกฝังไปพร้อมกับหมาไนทรายท่ามกลางเสียงร้องอย่างน่าเวทนา
และพอมีช่องโหว่ หมาไนทรายจำนวนมากที่ติดอยู่นอกกำแพงเมือง ก็พุ่งเข้ามาบริเวณที่กำแพงเมืองพังทลายอย่างบ้าคลั่ง
แม้ว่าจะมีคนเผ่าทรายสิบกว่าคนกระโดดลงมาต้านทานไว้ แต่มันก็ดูล่อแหลมเป็นอย่างมาก
ขณะเดียวกัน หลังจากอสูรทรายยักษ์ส่งเสียงคำรามออกมา ร่างขนาดมหึมาก็พุ่งไปข้างหน้า และปะทะใส่กำแพงเมืองอีกส่วนหนึ่ง ทำให้กำแพงส่วนนี้สั่นสะเทือนเล็กน้อย และมีรอยร้าวยาวๆ ปรากฏออกมา
ฉากเช่นนี้ทำให้คนเผ่าทรายรู้สึกหวาดผวายิ่งกว่าเดิม
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที หลังจากกระบี่บินในมือสั่นสะท้านเบาๆ และกำลังจะถูกปล่อยออกไปนั้น พลันมีเสียงสั่นสะเทือนดังมาจากในเมือง มนุษย์ทองแดงสีเขียวที่สูงสิบกว่าจั้ง กำลังพุ่งมาทางกำแพงเมืองอย่างรวดเร็ว
และบนหัวของมนุษย์ทองแดงสีเขียว กลับมีผู้เฒ่าเผ่าทรายที่หลิ่วหมิงพบเจอในวันนั้นยืนอยู่
แต่ขณะนี้ผู้อาวุโสร่างอวบไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าเลยแม้แต่น้อย แต่กลับยืนเอามือไขว้หลัง ใบหน้าเต็มไปด้วยแววสังหาร
“รีบดู ท่านผู้เฒ่ามาแล้ว!”
“มีผู้พิทักษ์คอยคุ้มครองอยู่ จะต้องสังหารอสูรยักษ์ตัวนั้นได้แน่!”
ชั่วขณะนั้น ดูเหมือนว่าคนเผ่าทรายจะมีความหวังขึ้นมา ทันใดนั้นพวกเขาก็ตะโกนออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา