ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 715

สรุปบท ตอนที่ 715 การต่อสู้ดุเดือดในเมือง: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

สรุปตอน ตอนที่ 715 การต่อสู้ดุเดือดในเมือง – จากเรื่อง ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet

ตอน ตอนที่ 715 การต่อสู้ดุเดือดในเมือง ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 715 การต่อสู้ดุเดือดในเมือง
ตอนที่ 715 การต่อสู้ดุเดือดในเมือง
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ว่ากันว่าแต่ก่อนก็เคยเกิดเหตุการณ์ที่ไม่สามารถโจมตีพวกมันจนล่าถอยไปได้อยู่ครั้งหนึ่ง ครั้งนั้นพวกเราต่างก็ได้รับบาดเจ็บกันมาก และเสียชีวิตไปหลายคน สุดท้ายท่านผู้เฒ่าถึงเสี่ยงชีวิตกระตุ้นเคล็ดวิชาบางอย่างถึงโจมตีจนมันล่าถอยไป และรักษาเผ่าเอาไว้ได้ มิเช่นนั้นเมืองซาม่านจะยังคงดำรงอยู่หรือไม่นั้น ก็เป็นเรื่องที่พูดได้ยาก” ซาฉู่เอ๋อร์พูดมาถึงจุดนี้ ดวงตาของนางก็ดูเศร้าโศกขึ้นมา

พอหลิ่วหมิงได้ยินก็แสดงสีหน้าครุ่นคิด

ขณะนี้มีเสียงหอน “บรู๊ววว!” ดังเข้ามาอีกครั้ง และฝุ่นทรายปกคลุมเต็มฟ้าที่เกิดจากการระเบิดตัวของหอกทรายก็ค่อยๆ สลายไป เผยให้เห็นร่างของหมาไนทรายแต่ละตัว

กว่าครึ่งหนึ่งของหมาไนทรายเหล่านี้ยังคงมีสภาพสมบูรณ์ มีส่วนน้อยที่มีบาดแผลจากระเบิดปรากฏอยู่บนตัว แต่หลังจากดินทรายม้วนตัวผ่านไป มันก็กลับมาสมานกันดังเดิม

พอหลิ่วหมิงกวาดจิตออกไป ก็ค้นพบว่านอกจากหมาไนทรายระดับศิษย์จิตวิญญาณหลายสิบตัวถูกหอกทรายโจมตีโดนจุดสำคัญจนกลิ่นไอหายไปจนหมดสิ้นแล้ว ที่เหลือล้วนไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากนัก

ขณะนี้หมาไนจำนวนแน่นขนัดได้เคลื่อนตัวมาอยู่ห่างจากกำแพงเมืองไม่กี่จั้งแล้ว แต่ละตัวที่อยู่ตรงหน้าสุดต่างก็มีทรายม้วนตัวขึ้นใต้เท้า กรงเล็บคู่หน้ากลายเป็นกรงเล็บแหลมคมที่ยาวฉื่อกว่าๆ และเสียบลงบนผนังกำแพงเมืองอย่างง่ายดาย จากนั้นก็พุ่งตรงไปบนกำแพงเมือง

“ต้านทานเข้าไว้ รักษากำแพงให้ดี อย่าให้พวกมันบุกขึ้นมาได้” ชายวัยกลางคนที่สวมชุดเกราะทรายสีดำ และถือดาบทรายสีดำอยู่ในมือตะโกนบอกคนร่วมเผ่าที่อยู่ด้านหลัง

“ฆ่า ฆ่า ฆ่า ……ฆ่า!” คนเผ่าทรายแต่ละคนต่างก็มีสีหน้าตึงเครียด แต่พอเห็นฉากเช่นนี้ก็พากันคำรามออกมาด้วยความโมโห

ภายใต้การร่ายคาถาของพวกเขา ทรายสีดำก็ก่อตัวขึ้นมา ครู่เดียว มือข้างหนึ่งก็จับดาบคมกริบที่ก่อตัวจากทรายไว้ ส่วนอีกข้างก็ยกโล่ทรายสีดำที่สูงครึ่งตัวขึ้นมา และพากันออกไปรับมือ

เกิดความวุ่นวายบนกำแพงเมืองอยู่ชั่วขณะหนึ่ง คนเผ่าทรายปะทะกับหมาไนทรายเหล่านี้

สำหรับหมาไนทรายเหล่านี้แล้ว มีเพียงแค่การเข้าต่อสู้ระยะประชิดเท่านั้น ถึงจะสร้างความเสียหายสูงสุดให้กับพวกมันได้ ด้วยเหตุนี้พอหมาไนทรายปีนขึ้นบนกำแพง ชาวเผ่าทรายย่อมละทิ้งการโจมตีในระยะไกลทันที

และคนเผ่าทรายอีกส่วนหนึ่ง ยังคงก่อตัวหอกทรายขึ้นมา และเขวี้ยงออกไปด้านล่างอยู่ไม่หยุด เพื่อต้านทานไม่ให้พวกมันปีนกำแพงขึ้นมามากเกินไป

“พี่หลิ่ว ท่านระมัดระวังให้มากสักหน่อย” หลังจากซาฉู่เอ๋อร์พูดกับหลิ่วหมิงไปหนึ่งประโยคแล้ว นางก็เข้าไปต่อสู้กับหมาไนทรายที่กระโดดขึ้นมาบนกำแพงทันที

พริบตาเดียวเสียงคำรามและเสียงปะทะกันก็ดังไปทั่วทิศ คนเผ่าทรายกับหมาไนทรายเกิดการตะลุมบอนกันขึ้นมา

หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว และไม่รีบร้อนลงมือแต่อย่างใด แต่กลับกวาดสายตามองดูกลุ่มการต่อสู้ต่างๆ ที่อยู่บริเวณนั้น

จะเห็นว่าบนกำแพงที่อยู่ห่างออกไปสามสี่จั้ง ชาวเผ่าทรายที่ถือกระบี่ทรายสีดำผู้หนึ่งกำลังต่อสู้อยู่กับหมาไนทรายระดับของเหลวสามตัวอยู่

ชายผู้นี้มีสีหน้าเคร่งขรึม มือทั้งสองเปลี่ยนท่ามืออยู่ไม่หยุด ทันใดนั้น ร่างของเขาก็กลายเป็นเม็ดทรายปลิวว่อนในทันที และมุดเข้าไปในกำแพงเมืองที่เกิดจากทรายที่กองรวมกัน พอเขาปรากฏตัวอีกครั้ง ก็อยู่ห่างจากหมาไนทรายตัวหนึ่งในระยะห่างหนึ่งจั้งกว่าๆ ภายใต้การสะบัดกระบี่ทรายในมือเบาๆ มันก็กลายเป็นเงากระบี่จำนวนมากพุ่งเข้าหาหมาไนทราย

แม้ว่าหมาไนทรายตัวหนึ่งจะหลบไปได้หลายกระบี่ แต่ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ทันได้ระวัง ยังคงถูกแทงทะลุหัวใจไปหนึ่งกระบี่ หลังจากกระตุกอยู่บนพื้นสองสามทีแล้ว ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ อีก

ขณะนี้ หมาไนทรายสองตัวต่างก็ขนาบหน้าหลังของชายผู้นี้ตั้งแต่แรกแล้ว พอมันส่งเสียงคำรามออกมาพร้อมกัน แสงแวววาวก็เปล่งประกายออกจากกรงเล็บคู่หนึ่ง ขณะเดียวกันก็กระโจนเข้าหาชายเผ่าทรายผู้นี้

หลังจากผ่านการโจมตีในเมื่อครู่ ดูเหมือนว่าชายเผ่าทรายผู้นั้นจะสูญเสียพลังเวทไปไม่น้อย และมีสภาพหายใจเหนื่อยหอบแล้ว พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็ได้แต่เอียงตัวไปด้านหน้า และยกโล่ทรายสีดำบนมือซ้ายมาต้านทานไว้

“ฟิ้วๆ!”

ภายใต้การต้านทานกรงเล็บของหมาไนทราย ทำให้เกิดรอยกรงเล็บสี่รอยที่ลึกชุ่นกว่าๆ บนผิวของโล่ทราย จากนั้นมันก็แตกสลายไป

ขณะที่หมาไนทรายตัวที่อยู่ด้านหลังกระโจนเข้ามาถึงนั้น แสงดาบสีดำที่อยู่ไม่ไกลก็เปล่งประกายผ่านไป ทำให้หมาไนทรายตัวนี้ถูกฟันเป็นสองส่วน และกลายเป็นกรวดทรายก่อนสลายไปตามลม

ขณะเดียวกัน เงาร่างที่หลิ่วหมิงคุ้นเคยเล็กน้อย ก็กะพริบขึ้นไปรับมือกับหมาไนทรายที่อยู่ตรงหน้าชายเผ่าทรายผู้นั้น

ผู้ที่ลงมือก็คือถูลาที่พาหลิ่วหมิงเข้าเมืองในตอนนั้นนั่นเอง

“ถูสือ เจ้าถอยไปพักผ่อนก่อน ที่นี่มอบให้ข้าจัดการเถอะ” ถูลากำหมัดทั้งสองต่อสู้กับหมาไนทรายตรงหน้า ขณะเดียวกันก็กล่าวกับชายผู้นั้นอย่างรวดเร็ว

ชายเผ่าทรายได้ยินก็พยักหน้า จากนั้นก็กระโดดลงจากกำแพงอย่างไม่ลังเล และถอยกลับไปยังฝูงชนก่อนนั่งขัดสมาธิลงไป

จะเห็นว่ามีพลังปราณสีดำที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าคละเคล้าด้วยดินทรายค่อยๆ พุ่งขึ้นจากใต้เท้า และจมหายไปในร่างของเขา

ขณะนั้นเอง มีหมาไนทรายอีกตัวพุ่งขึ้นบนกำแพง และกระโจนเข้าหาถูลาอย่างรวดเร็ว

ถูลาโยนโล่ในมือออกไป และถอยหลังไปหลายก้าวอย่างรวดเร็ว

“เพล้ง!” โล่สีดำต้านทานได้เพียงครู่เดียวก็ถูกกรงเล็บอันแหลมคมคู่หนึ่งตะกุยจนแตกกระจาย

หลังจากถูลาสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้ว ก็ย่อเข่าลง ขาขวาของเขากระทืบลงพื้นอย่างรุนแรง พื้นทรายใต้เท้าสั่นสะเทือนเบาๆ ภายใต้การม้วนตัวของดินทราย มันก็กลายเป็นดาบทรายสีดำที่ยาวสองถึงสามจั้ง

และถูลาก็สะบัดดาบนี้ออกไปรับมือ

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็เข้าใจในทันที

“ขอบคุณท่านมาก!” ชายที่ได้รับบาดเจ็บมีสีหน้าดีใจมาก และรีบรับโอสถมาทานโดยไม่ปฏิเสธแต่อย่างใด

ชายร่างสูงที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนี้ ก็แสดงสีหน้าซาบซึ้งกับหลิ่วหมิง

ด้วยเหตุที่ว่าพื้นที่สีเขียวกับทะเลทรายกุ่ยโม่แห่งนี้ขาดแคลนทรัพยากรมาก ต่อให้เป็นโอสถรักษาอาการบาดเจ็บที่ธรรมดาที่สุด ก็ล้ำค่าสำหรับคนเผ่าทรายเป็นอย่างมาก

หลิ่วหมิงโบกมือเล็กน้อย หลังจากมองดูอสูรทรายรอบด้านที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมา พอมือข้างหนึ่งชักนำ แสงกระบี่สีทองก็พุ่งขึ้นฟ้า และม้วนตัวไปทางอสูรทรายที่อยู่บริเวณนั้น

แม้เขาจะไม่ใช่คนเผ่าทราย แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ไหนเลยจะสามารถเพิกเฉยได้ มิเช่นพอเมืองถูกทำลาย เขาก็มีอันตรายเช่นกัน

แม้ว่าพลังเวทของหลิ่วหมิงจะถูกควบคุมอยู่ที่ระดับของเหลว แต่อาศัยกายเนื้อที่แข็งแกร่งกับกระบี่บินพลังจิตวิญญาณเล่มนี้ แม้แต่ระดับผลึกเขาก็สามารถสังหารได้อย่างง่ายดาย ไหนเลยจะเกรงกลัวหมาไนทรายเหล่านี้

จะเห็นว่าเขาทำท่ามืออยู่ไม่หยุด สายรุ้งสีทองกวาดออกไปจากบนกำแพง บริเวณที่มันพุ่งผ่านเกิดแสงเย็นสะท้านอันน่าครั่นคร้าม ผ่านไปครู่หนึ่ง หมาไนทรายสิบกว่าตัวก็ถูกแสงกระบี่ฟันเป็นสองชิ้น

“ดี! กระบี่บินของสหายท่านนี้คมกริบจริงๆ ทุกคนอย่าได้น้อยหน้าสหายท่านนี้ล่ะ ไปฆ่ามันซะ!” ชายกรรจ์เผ่าทรายระดับผลึกที่บัญชาการอยู่เห็นเช่นนี้ ก็ตะโกนออกมาทันที พอโบกแขนข้างหนึ่ง ทรายในมือก็กลายเป็นแสงสีดำจำนวนมากก่อนม้วนตัวออกไป ทำให้หมาไนทรายที่อยู่บริเวณนั้นถูกสังหารไปหลายตัว

ทันใดนั้น คนเผ่าทรายก็ฮึกเหิมขึ้นมา เกิดเสียงตะโกนเข่นฆ่าติดต่อกัน

ขณะนี้ ซาฉู่เอ๋อร์ก็สังหารหมาไนทรายหลายตัวที่อยู่บริเวณนั้นจนหมดสิ้น จากนั้นก็พุ่งกลับมาด้านข้างของหลิ่วหมิง หลังจากยิ้มหวานให้หลิ่วหมิงแล้ว ก็ร่อนลงไปในสถานที่ปลอดภัยใต้ล่าง และนั่งขัดสมาธิฟื้นฟูพลังเวท

แต่ว่าในใจหลิ่วหมิงกลับรู้สึกหงุดหงิดมาก

แม้เขาจะอาศัยพลังเวทบริสุทธิ์ที่สูงกว่าคนทั่วไป โดยไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการสูญเสียพลังเวท แต่กระบี่บินพลังจิตวิญญาณในกลางทะเลกุ่ยโม่แห่งนี้ ก็ถูกควบคุมไม่น้อย อานุภาพที่แสดงออกมาไม่ถึงหนึ่งในสามของเมื่อก่อนแล้ว

ที่ทำให้หลิ่วหมิงเป็นทุกข์ยิ่งกว่าก็คือ ขณะนี้กระบี่บินพลังจิตวิญญาณไม่อาจออกห่างจากตัวได้มากนัก อยู่ห่างได้แค่ระยะสิบกว่าจั้งเท่านั้น พอเลยไปจากนี้การเชื่อมต่อกับกระบี่ก็จะอ่อนแอลงมาก ส่งผลให้ไม่อาจควบคุมได้ดั่งใจ

เขากวาดสายตามองดูหมาไนทรายที่กระโดดขึ้นบนกำแพงเมืองอยู่ไม่หยุด และตัดสินใจโบกมือข้างหนึ่งออกไป กระบี่บินพลังจิตวิญญาณแกว่งไปแกว่งมาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พุ่งกลับมาหาเขา

นิ้วทั้งสิบของหลิ่วหมิงชี้ออกไปติดต่อกันราวกับล้อรถ พลังเวทภายในร่างพุ่งเข้าใส่กระบี่บินสีทองตรงหน้าอย่างต่อเนื่อง

………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา