และหลังจากแขนทั้งคู่หดกลับมา รอยแยกมิติกลางอากาศก็ผสานเข้าด้วยกันท่ามกลางแสงสีทองที่เปล่งประกาย
พอหลิ่วหมิงเขม้นตามอง ก็ค้นพบว่าเงาร่างในมือยักษ์ก็คือปีศาจวายุกับปีศาจสายฟ้าที่เป็นปีศาจผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์นั่นเอง
ทั้งสองถูกหุ่นมนุษย์สีทองใช้มือทั้งสองจับไว้แน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ดูเหมือนว่าไม่อาจดิ้นรนได้เลยแม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกใจเย็นสะท้านขึ้นมา แม้แต่ในแผ่นดินจงเทียน ผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ก็ถูกจัดอยู่ในระดับต้นๆ ในนิกายยอดบริสุทธิ์เองก็มีผู้อาวุโสสูงสุดเพียงบางคนที่มีระดับการฝึกฝนเช่นนี้
แม้จะว่าบอกว่าขุยตี้แห่งหนานฮวงเป็นผู้ทรงพลังระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ แต่ตอนนี้ก็มีแค่เศษวิญญาณที่เหลืออยู่เท่านั้น แค่คว้ามือออกไปอย่างไม่ใส่จืก็สามารถจับปีศาจทั้งสองได้แล้ว พลังอาจจะเหนือกฎธรรมชาติเกินไปหน่อย
ขณะนั้นเอง ปีศาจสายฟ้าที่ถูกมือยักษ์ของหุ่นจับไว้ก็ส่งเสียงตะคอกออกมาในฉับพลัน แสงสายฟ้าสีม่วงเปล่งประกายบนตัว ทันใดนั้นเงาร่างสีม่วงก็พร่ามัวปรากฏออกมาด้านหลัง
พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ กลุ่มคนเผ่าทรายที่อยู่ด้านล่างก็เกิดการลุกฮือขึ้นมา
“เงาร่างพลังเวทของผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์!” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ดวงตาก็เปล่งแสงแวววาวอย่างอดไม่ได้
พอการฝึกฝนบรรลุระดับแก่นแท้ และรวบรวมวิญญาณให้กลายเป็นแก่นวิญญาณแล้ว ก็สามารถบรรลุสู่ระดับดาราพยากรณ์ได้ การดำรงอยู่ของระดับนี้ สามารถนำพลังเวทกับแก่นวิญญาณรวมเป็นร่างเดียวกัน และเกาะตัวเป็นเงาร่างพลังเวทได้
และเคล็ดวิชาการฝึกฝนของแต่ละคนล้วนไม่เหมือนกัน เนื่องจากสถานการณ์ของร่างแต่ละคนแตกต่างกัน ร่างพลังเวทที่ก่อตัวขึ้นมาจึงไม่เหมือนกัน
แต่ก่อนหลิ่วหมิงเคยเห็นปีศาจสายฟ้าแสดงร่างพลังเวทมาแล้ว แต่ว่าตอนนี้เพิ่งจะได้เห็นหน้าตาที่แท้จริงของร่างพลังเวทของปีศาจสายฟ้า
แม้ว่าร่างพลังเวทของปีศาจสายฟ้าจะพร่ามัวไม่ชัดเจนโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่สามารถแยกแยะได้ลางๆ ว่าเป็นมนุษย์ยักษ์ที่มีสายฟ้าสีม่วงรายล้อม เท้าของมันเหยียบอยู่บนเมฆหมอก บนตัวของมันคลุมเสื้อคลุมที่สร้างขึ้นจากสายฟ้า
ที่น่าแปลกประหลาดยิ่งกว่าก็คือ เงาร่างนี้มีแขนสี่แขน ใบหน้าก็ไม่ใช่ใบหน้ามนุษย์ แต่เป็นหน้าวานรที่มีขนเต็มไปหมด
ขณะที่ปีศาจสายฟ้าส่งเสียงตะคอกออกมา มือยักษ์ของเงาร่างสีม่วงก็คว้าไปด้านหน้า สายฟ้าสีม่วงระเบิดออกมาเป็นกลุ่มๆ และส่งเสียงดังโครมครามอยู่บนมือยักษ์สีทองของหุ่นมนุษย์ยักษ์
ขณะนี้ ปีศาจวายุที่อยู่อีกด้านก็ปล่อยร่างพลังเวทของตนเองออกมา แต่กลับเป็นตัวประหลาดที่มีหัวเป็นวิหค มีร่างมนุษย์ตัวหนึ่ง มีพายุบ้าระห่ำโหมกระหน่ำอยู่รอบตัว ไม่เพียงแต่ชัดเจนกว่าร่างพลังเวทของปีศาจสายฟ้าไม่น้อย อานุภาพไม่ได้ด้อยไปกว่าปีศาจสายฟ้าเลย และกำลังปล่อยคมวายุสีเขียวออกไปโจมตีมือยักษ์สีทองที่อยู่ด้านหลังอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าร่างของปีศาจทั้งสองจะถูกควบคุมไว้ แต่ว่าการโจมตีของร่างพลังเวทยังคงให้ความรู้สึกน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก
แม้หลิ่วหมิงจะยืนอยู่บนพื้น ก็ยังคงรับรู้ได้ถึงคลื่นพลังที่ดูเหมือนจะทำลายฟ้าดินได้
น่าเสียดาย ไม่ว่าทั้งสองจะโจมตีอย่างไร แขนขนาดใหญ่ที่จับตัวของพวกเขาไว้ยังคงมั่นคงเหมือนดังภูเขา พลังการโจมตีของร่างพลังเวทระดับดาราพยากรณ์ทั้งสองราวกับมดแดงขย่มต้นไม้ใหญ่ ไม่บังเกิดผลใดๆ เลยแม้แต่น้อย
“นี่คือ…..หุ่นระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์!” ขณะที่แขนยักษ์สีทองหดกลับมาตรงหน้าหุ่นสีทองนั้น ปีศาจสายฟ้าก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว เขาจ้องมองหุ่นมนุษย์ยักษ์สีทองตรงหน้าด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ และหลุดปากตะโกนออกมาด้วยความตกใจ
ปีศาจวายุเองก็ดวงตาเป็นประกายราวกับรับรู้อะไรบางอย่างได้ จึงถามด้วยความหวาดผวา
“ผู้อาวุโส หรือว่าท่านคือ…”
“ไม่ผิด ข้าก็คือขุยตี้แห่งหนานฮวง!” ชิงหลิงกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
ปีศาจวายุกับปีศาจสายฟ้าได้ยินเช่นนี้ ก็เผยสีหน้าเหลือเชื่อออกมาพร้อมกัน
ร่างพลังเวทที่พวกเขาปล่อยออกมาก็หยุดการโจมตีลง
พอปีศาจสายฟ้าเหลือบตามอง ก็มองเห็นหลิ่วหมิงที่อยู่ข้างหุ่นยักษ์ เขาเผยสีหน้าดุร้ายออกมา แต่กลับไม่กล้าเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงกลับมีสีหน้าสงบ
“พวกเจ้าทั้งสองบุกรุกเข้ามาในพื้นที่สมบัติสวรรค์ของข้าโดยพลการ คงคิดที่จะกวาดเอาสมบัติของข้าไปสินะ ตอนนี้ข้าจะให้ทางเลือกกับพวกเจ้าสองทาง ยอมรับใช้ข้าไม่อย่างนั้นก็ตาย!” ชิงหลิงกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง มือยักษ์ทั้งคู่ที่จับปีศาจทั้งสองอยู่ก็ค่อยๆ กำแน่นขึ้น และแสงสีทองก็เปล่งประกายออกมา
ปีศาจวายุกับปีศาจสายฟ้าทำเสียงฮึดฮัด และกระอักเลือดออกมาในทันที เงาร่างพลังเวทบนตัวหายไปท่ามกลางแสงสีทอง
ปีศาจสายฟ้ารู้สึกหวาดผวามาก
จากการแสดงออกของหุ่นมนุษย์ยักษ์สีทอง จะต้องมีพลังระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์อย่างแน่นอน เพียงแค่เขาไม่ยินยอม มือยักษ์ก็สามารถขยี้ร่างของเขาจนละเอียดได้อย่างง่ายดาย แม้แต่วิญญาณก็ไม่อาจหนีรอดไปได้
และใบหน้าของปีศาจวายุก็ดูไม่ได้เป็นอย่างมาก สีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่พักหนึ่ง
แม้ว่าในเผ่าปีศาจจะเคารพผู้ที่แข็งแกร่งกว่า แต่ทั้งสองก็เป็นประมุขที่ขี่ม้าห้อเหยียดในดินแดนทางใต้มาหลายร้อยปี ย่อมไม่ยอมเป็นผู้น้อยของใครเด็ดขาด โดยเฉพาะปีศาจวายุที่การฝึกฝนเข้าสู่ระดับดาราพยากรณ์ขั้นปลายแล้ว ซึ่งอยู่ห่างจากระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์เพียงก้าวเดียวเท่านั้น ตอนนี้จะให้เขาก้มหน้ารับใช้คนอื่น ให้เขารับใช้หุ่นตัวหนึ่งนั้น ยากที่จะลดศักศรีในใจลงได้
ชิงหลิงเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะอย่างเยือกเย็น และไม่สนใจคำตอบของปีศาจทั้งสอง แต่กลับร่ายราถาออกมาเบาๆ พออ้าปากแสงสีดำสองลำก็ถูกพ่นออกมาห่อหุ้มเลือดที่ปีศาจทั้งสองกระอักออกมา
เลือดสดๆ ถูกแสงสีแดงม้วนเก็บเข้าไป และกลายเป็นก้อนกลมๆ มีแดงเข้มสองก้อน จากนั้นลูกกลมๆ สีแดงเข้มก็กะพริบเข้าไปในศีรษะของปีศาจทั้งสอง
ขณะนี้ร่างของปีศาจทั้งสองถูกควบคุมไว้ จึงทำได้แค่มองดูลูกแสงสีแดงจมเข้าไปในร่าง และไอเย็นสะท้านก็ซึมเข้าไปในจิตรับรู้ของปีศาจทั้งสอง
“นี่คือชั้นจำกัดควบคุมหุ่นของข้า นับจากนี้ไปก็ติดตามอยู่ข้างกายข้าเถอะ!” ชิงหลิงหัวเราะอิๆ และคลายมือยักษ์ทั้งสองปล่อยปีศาจวายุกับปีศาจสายฟ้าออกมา
ปีศาจระดับดาราพยากรณ์ทั้งสองรู้สึกแค่ว่าร่างกายเป็นอิสระ จากนั้นการเคลื่อนไหวก็ฟื้นคืนกลับมา และรีบทำท่ามือเพื่อทรงตัวในขณะที่กำลังร่วงลงไป
ดูเหมือนทั้งสองจะรับรู้ได้ว่าการโคจรพลังเวทภายในร่างไม่มีความผิดปกติเลยแม้แต่น้อย หลังจากสบตากันอย่างรวดเร็วแล้ว ก็กลายเป็นแสงหลบหลีกสองลำพุ่งออกไปสองทิศทาง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา