“พวกเจ้าทั้งสอง ตั้งแต่นี้ไปเป็นผู้คุ้มกันของข้า เพียงแค่จงรักภักดีต่อข้า ข้าย่อมปฏิบัติต่อพวกเจ้าอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แต่หากกล้าคิดคดกับข้า คงรู้ดีนะว่าจะมีจุดจบเช่นไร!”
“ทราบ!”
“มิกล้า!”
ปีศาจทั้งสองก้มหน้าตอบรับ และไม่กล้ามีความคิดอื่นเลยแม้แต่น้อย
“เอาล่ะ! เรื่องหยุมหยิมจบลงแล้ว ตามที่ตกลงกันไว้ในก่อนหน้านั้น ข้าจะส่งเจ้าออกไปแล้ว จำไว้ให้ดี! ข้าไม่คาดหวังให้เรื่องราวใดๆ เกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้เล็ดลอดออกไปสู่โลกภายนอก” ขณะที่ชิงหลิงพูด มือยักษ์ทั้งสองก็ยกขึ้นแล้วประกบเข้าด้วยกัน หลังจากแยกออกไปทางซ้ายขวาอีกครั้ง ก็เกิดเสียงดังบนอากาศที่อยู่ไม่ไกล และเกิดรอยแยกมิติขนาดใหญ่ขึ้นมา
“ขอบคุณผู้อาวุโสชิงหลิงที่ส่งเสริม ผู้น้อยจะเก็บเรื่องนี้ราวกับปิดปากขวด” หลิ่วหมิงเห็นเช่นดีก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขารีบโค้งตัวคารวะ ขณะที่กำลังจะเหาะไปนั้น ก็ก้มหน้าลงไปดูทีหนึ่ง
กลับค้นพบว่าเงาร่างอรชรสวมชุดสีขาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าคนเผ่าทราย กำลังจ้องมองเขาตาไม่กะพริบ มีความคาดหวังบางอย่างในแววตา และมีความลังเลเล็กน้อย ขณะเดียวกันยังแฝงไปด้วยความคับแค้นใจเล็กน้อยด้วย
นางก็คือซาฉู่เอ๋อร์นั่นเอง
ทันใดนั้น พายุบ้าระห่ำก็พัดผ่านมา ทำให้เสื้อผ้าของนางโบกสะบัดอย่างรุนแรง และผ้าขาวที่ปิดบังใบหน้าของนางอยู่ก็หลุดร่วงลงไป
ทันใดนั้น ใบหน้างดงามล่มบ้านล่มเมืองก็ถูกเปิดเผยออกมา ดูเหมือนว่าอากาศสลัวๆ รอบด้านจะสว่างขึ้นมาเล็กน้อย
หลิ่วหมิงเผยสีหน้าเข้าใจในทันที และอดคิดถึงเรื่องราวที่เคยพูดคุยกับหญิงผู้นี้บนเนินทรายนอกเมืองไม่ได้
เขาถอนหายใจเล็กน้อย และเผยรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้า จากนั้นก็ขยับปากส่งเสียงออกไป
“แม้นางซา ข้าน้อยขอลาจากกันตรงนี้ มีวาสนาค่อยพบกันใหม่”
พอซาฉู่เอ๋อร์ได้ยิน ร่างบอบบางของนางก็สั่นสะท้านเล็กน้อย ขณะที่กำลังจะอ้าปากพูดอะไรออกมานั้น กลับเห็นว่าชิงหลิงโบกมือขนาดใหญ่แล้ว จากนั้นแสงสีทองก็ห่อหุ้มหลิ่วหมิงไว้ และม้วนตัวเข้าไปในรอยแยก
จากนั้นรอยแยกก็ผสานกันอย่างรวดเร็วราวกับว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
……
ท้องฟ้าและแผ่นดินหมุนวนอยู่ชั่วขณะหนึ่ง!
หลังจากหลิ่วหมิงได้สติกลับมา เขาก็มายืนอยู่บนทุ่งหญ้าแล้ว
พอมองออกไปรอบด้าน เขาก็จำไม่ได้ว่าตนเองอยู่สถานที่แห่งใด แต่ที่ยืนยันได้ก็คือ ได้ออกมาจากทะเลทรายกุ่ยโม่แล้ว
เหตุผลก็คือ สถานที่แห่งนี้ไม่รับรู้ถึงพลังแปลกประหลาดที่กดดันระดับการฝึกฝนของเขาแล้ว แม้ว่าปราณจิตวิญญาณในสถานที่แห่งนี้จะเบาบาง แต่เมื่อเทียบกับในทะเลทรายกุ่ยโม่แล้ว กลับหนาแน่นกว่าร้อยเท่า
“ในที่สุดก็ออกมาแล้ว!”
หลิ่วหมิงถอนหายใจเบาๆ และนำแผ่นหยกสีเทาออกจากแหวนย่อส่วนมาอันหนึ่ง
สิ่งนี้เขาได้มาจากการสังหารผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ในแดนลึกลับบนเขาเหลยฉือโดยไม่ตั้งใจ
ในแผ่นหยกมีแผนที่ดินแดนทางตอนใต้ที่มีเทือกเขาจูหลงและเทือกเขาใหญ่อื่นๆ เป็นจุดศูนย์กลาง แต่ละเขตพื้นที่ล้วนบันทึกอยู่ในนั้นอย่างละเอียดครอบคลุม
ชั่วเวลาหนึ่งเค่อผ่านไป หลิ่วหมิงถึงนำจิตรังรู้ออกจากแผ่นหยก
เมฆดำก่อตัวขึ้นที่ใต้เขาของเขา จากนั้นก็เหาะขึ้นสูงหลายร้อยจั้ง เขากวาดสายตามองรอบด้าน และเทียบพื้นที่บริเวณนี้กับแผนที่หนึ่งรอบ ก็ยืนยันตำแหน่งในปัจจุบันได้คร่าวๆ
สถานที่แห่งนี้คงเป็นเขตทุ่งหญ้าทางด้านตะวันตกของเทือกเขาจูหลงที่อยู่ห่างไกลผู้คน ห่างจากตลาดชิงกู่ไม่มากนัก ซึ่งห่างไม่กี่หมื่นลี้เท่านั้น
หลังจากหลิ่วหมิงหลับตาครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้ว ก็ทำท่ามืออย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กลายเป็นแสงหลบหลีกสีดำพุ่งไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับตลาดชิงกู่
หลังจากเผชิญกับอุบัติภัยอย่างแดนลึกลับบนเขาเหลยฉือ และทะเลทรายกุ่ยโม่แล้ว ตอนนี้เขาไม่กล้ากลับไปตลาดชิงกู่อีก
ครึ่งเดือนต่อมา แสงสีดำลำหนึ่งก็หยุดลงบริเวณเทือกเขาไร้นามที่สูงชันและอันตรายแห่งหนึ่ง
พอแสงสีดำดับลง เงาร่างชายหนุ่มผู้หนึ่งก็ปรากฏออกมา ซึ่งก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
ในมือเขาถือแผ่นหยกที่เป็นแผนที่อยู่ ดวงตาทั้งคู่หรี่มองรอบด้าน สีหน้าของเขาค่อยๆ แสดงความพึงพอใจออกมา
สถานที่แห่งนี้อยู่ห่างจากเทือกเขาจูหลงหลายหมื่นหลายพันลี้ สามารถพูดได้ว่าอยู่สวนทางกับตลาดชิงกู่โดยสิ้นเชิง
อีกอย่างแม้จะเทียบกันแล้วปราณจิตวิญญาณของสถานที่แห่งนี้จะค่อนข้างเบาบาง มีผู้ฝึกฝนน้อยคนที่จะมาถึงที่นี้ แต่คงสงบเงียบเป็นอย่างมาก
และอยู่ห่างจากเทือกเขาไปหมื่นลี้ ก็จะเป็นตลาดขนาดใหญ่ของเผ่าหมาน แต่ก่อนหลิ่วหมิงเคยมาซื้อวัตถุโอสถแฝงจิตวิญญาณในสถานที่แห่งนี้ จึงรู้ว่าขนาดของมันไม่ได้ด้อยไปกว่าตลาดชิงกู่เลย
“ที่นี่ก็แล้วกัน!” หลิ่งหมิงเก็บแผ่นหยกแล้วเหาะไปยังพื้นที่เร้นลับตรงไหล่เขา และปล่อยกระบี่บินว่างเปล่าทำการขุดเจาะหิน
ด้วยระดับการฝึกฝนของเขาในตอนนี้ การขุดถ้ำที่พักแห่งหนึ่งไม่ใช่เรื่องที่เปลืองแรงแต่อย่างใด
หลังจากผ่านไปเกือบครึ่งวัน เขาก็ขุดห้องหินขนาดต่างๆ ออกมาได้หลายห้อง และยังถือโอกาสตัดหินก้อนหนึ่งมาทำเป็นเตียงหิน และตั่งหินสองสามตัว
จากนั้นเขาก็นำเครื่องมือวางค่ายกลออกมาสองสามชุด และทำการปกคลุมภูเขากว่าครึ่งลูกไว้
หลังจากหลิ่วหมิงนำโอสถแฝงจิตวิญญาณออกมาทานไปหนึ่งเม็ดแล้ว ก็นั่งขัดสมาธิลงทันที ด้านหนึ่งกลั่นเอาพลังของโอสถ อีกด้านหนึ่งก็เริ่มตรวจสอบดูร่างของตนเองอย่างละเอียด
หลายเดือนติดต่อกันมานี้ ตั้งแต่ถูกปีศาจสายฟ้าตามล่า ทั้งยังถูกขังอยู่ในทะเลทรายกุ่ยโม่ หลังจากผ่านการต่อสู้ติดต่อกัน ร่างกายของเขาก็แอบสะสมบาดแผลไว้จำนวนมาก ตอนนี้เป็นเวลาที่ควรรักษาให้ดีๆ แล้ว
หลังจากผ่านไปสามวันสามคืน หลิ่วหมิงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา คิ้วที่ขมวดเข้าหากันก็คลายออกมาพร้อมกัน
ไม่มีการควบคุมของทะเลทรายกุ่ยโม่ บวกกับการทานโอสถรักษาอาการบาดเจ็บไปก่อนหน้านั้ยจำนวนไม่น้อย พลังเวทในร่างจึงฟื้นฟูจนถึงจุดสูงสุดอย่างรวดเร็ว บาดแผลบนกายเนื้อก็ฟื้นฟูมาพอประมาณแล้ว
แต่ว่าพอเขาลองตอบสนองกับโลหิตปีศาจสวรรค์ที่กลืนลงไปหยดนั้น กลับค้นพบว่าโลหิตนี้หายไปในร่างของเขาอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
ภายใต้สถานการณ์ที่หลิ่วหมิงคิดอย่างไรก็คิดไม่ตก เขาจึงไม่คิดอะไรมากอีก จากนั้นก็ดึงถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณบนเอว และปล่อยอสูรเลี้ยงทั้งสองออกมา
หลังจากเข้าไปในทะเลทรายกุ่ยโม่แล้ว เขาเคยสำรวจดูอสูรเลี้ยงทั้งสอง และค้นพบว่าพวกมันหลับลึกมาโดยตลอด แต่ภายใต้สถานการณ์ที่เอาตัวรอดได้ยากในตอนนั้น จึงไม่ได้ตรวจสอบดูละเอียด
พอเหลือบตาดูในตอนนี้ กลับค้นพบว่าอสูรเลี้ยงทั้งสองยังไม่มีท่าทีจะฟื้นเลยแม้แต่น้อย
หลังจากหลิ่วหมิงสังเกตดูอย่างละเอียดอีกรอบแล้ว ก็ค้นพบว่าบนตัวของแมงป่องกระดูกสีเงินมีลวดลายจิตวิญญาณสีเหลืองแปลกประหลาดปรากฏขาดๆ หายๆ แม้ว่าหัวบินจะหลับลึกอยู่ แต่ในเบ้าตาก็มีจุดแสงสีแดงปรากฏขาดๆ หายๆ เช่นกัน อีกย่างทั้งสองต่างก็มีกลิ่นไออันแข็งแกร่งแผ่ออกมาอย่างแปลกประหลาด
ในใจหลิ่วหมิงเกิดคำถามมากมาย หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งแล้ว ก็จับอสูรเลี้ยงทั้งสองไว้ และกระตุ้นศิลาหุนเทียนในทะเลจิตรับรู้
“ว่าบ!”
ภาพตรงหน้ามืดลง จากนั้นเขากับอสูรเลี้ยงทั้งสองก็มาปรากฏตัวในห้องว่างเปล่าลึกลับพร้อมกัน
“ผู้อาวุโสหลัวโหว!” หลังจากหลิ่วหมิงวางอสูรเลี้ยงทั้งสองลงไปแล้ว ก็ตะโกนออกมาทันที
“ไม่ต้องเสียงดังขนาดนี้ ข้าได้ยินแล้ว!”
ห่างจากด้านหน้าหลิ่วหมิงไปไม่ไกล เงาร่างคนผู้หนึ่งปรากฏออกมา ซึ่งก็คือหลัวโหวนั่นเอง
เขาสังเกตดูหลิ่วหมิงทีหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“เจ้านี่ดวงแข็งจริงๆ ช่วงนี้เผชิญกับศัตรูตัวฉกาจอยู่บ่อยครั้ง เดิมทีข้าคิดว่าเจ้าจะต้องตายอย่างแน่นอน คิดไม่ถึงว่าจะยังมีชีวิตรอดมาได้ ช่างเป็นไปได้ยากจริงๆ พูดมาเถอะ! เจ้าเข้ามาในครั้งนี้เพราะเรื่องอันใดอีก?”
“ในเมื่อสิ่งที่ข้าเผชิญมา ผู้อาวุโสก็มองเห็นหมดแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าน้อยก็จะไม่อธิบายให้มากความแล้ว เพียงแต่ว่าตอนที่อยู่ในแดนลึกลับบนเขาเหลยฉือ ตอนที่ข้ากลายร่างเป็นปีศาจได้กลืนโลหิตปีศาจสวรรค์ไปหยดหนึ่ง ไม่ทราบว่า…” หลิ่วหมิงได้ยินก็แอบตำหนิอยู่ในใจ แต่ยังคงถามด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
………………………………

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา