ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 734

สรุปบท ตอนที่ 734 ตราประทับสายฟ้าสวรรค์: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

ตอน ตอนที่ 734 ตราประทับสายฟ้าสวรรค์ จาก ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

ตอนที่ 734 ตราประทับสายฟ้าสวรรค์ คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

ตอนที่ 734 ตราประทับสายฟ้าสวรรค์
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลิ่วหมิงกลับไม่ได้รู้สึกตกใจมากนัก แววตาดีใจของเขาไม่ต้องพูดก็เป็นที่เข้าใจ

จะว่าไปแล้ว หลังจากปีศาจสมุทรแปดขาตัวนี้จับพลัดจับผลูดูดซับโลหิตปีศาจสวรรค์เข้าไป ก็เหมือนกับทานโอสถเสริม ด้วยการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ ภายในระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่ปี ร่างของมันก็เปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว

ผลลัพธ์ของโลหิตปีศาจสวรรค์นี้มีผลต่อปีศาจอสูรอย่างน่าตกใจ ตัวหลิ่วหมิงเองก็ใช้เวลาห้าปีเต็มๆ ถึงจะดูดซับมันได้ทั้งหมด

ช่วงห้าปีมานี้ ดูเหมือนว่ากายเนื้อของเขาจะแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านั้นหนึ่งเท่าขึ้นไป สิ่งที่ทำให้เขาดีใจยิ่งกว่าก็คือ เกล็ดมังกรสีแดงที่อยู่ภายในร่างเหล่านั้น หลังจากได้รับการบำรุงจากโลหิตปีศาจสวรรค์แล้ว อานุภาพของมันก็เพิ่มขึ้นเป็นทวี

เกล็ดมังกรแดงในตอนนี้ ไม่เพียงแต่มีผลลัพธ์ในการป้องกันมากกว่าก่อนหน้านั้นหลายเท่า ดูเหมือนว่าสามารถเทียบกับเกล็ดมังกรระดับแก่นแท้ได้แล้ว เมื่อถึงคราวจำเป็นต้องใช้ ยังสามารถกระตุ้นพลังเวทระเบิดมันออกมาได้

จากการคาดการณ์ของเขา พลังการโจมตีของเกล็ดมังกรหลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว คงไม่ด้อยไปกว่าอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดหนึ่งชิ้น อานุภาพก็ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะรับรู้ได้

แต่หลังจากเกล็ดมังกรเหล่านี้ออกไปจากร่าง ก็ไม่อาจนำมันกลับเข้าไปได้อีก พอที่จะพูดได้ว่า ใช้ไปหนึ่งครั้งก็จะลดลงไปหนึ่งเกล็ด หากไม่ใช่ช่วงเวลาที่จำเป็น เขาจะไม่ใช้วิธีการนี้อย่างเด็ดขาด

ขณะนี้ ร่างของอสูรสมุทรแปดขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงจนเสร็จสิ้น ทันใดนั้นมันก็โบกสะบัดหนวดสัมผัสเส้นหนึ่ง

พอเงาร่างเปล่งประกาย ก็เกิดเสียงดัง “ตู๊ม!” หนวดสัมผัสปะทะลงบนโต๊ะหินในห้องลับภายในพริบตา ทำให้มันระเบิดออกมาทันที

แม้ว่าอสูรสมุทรตัวนี้จะเข้าสู่วัยเต็มตัวแล้ว แต่สติปัญญายังคงไม่มีทีท่าว่าจะเพิ่มขึ้นตามวัย พฤติกรรมทั้งหมดล้วนเป็นไปตามสัญชาตญาณ ไม่รู้เรื่องเหมือนกับแมงป่องกระดูกกับหัวบิน

สิ่งนี้หลิ่วหมิงเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้

พอคิดมาถึงจุดนี้ เขาก็ใช้จิตรับรู้กวาดดูถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณบนเอวอีกครั้ง แต่กลับค้นพบว่าแมงป่องกระดูกกับหัวบินไม่มีวี่แววจะฟื้นเลยแม้แต่น้อย ยังคงหลับลึกอยู่

ตั้งแต่เจ้าสองตัวนี้ดูดซับโลหิตปีศาจสวรรค์ที่ถูกแยกออกมาแล้ว ก็หลับลึกมานานเจ็ดแปดปีแล้ว ไม่รู้ว่าจะฟื้นขึ้นมาอีกเมื่อไหร่ และจะมีการเปลี่ยนแปลงน่าตกใจแค่ไหน

ขณะนั้นเอง มีเสียงดังด้วย “ตู๊ม!” ในห้องลับอีกครั้ง ไม่รู้ว่าทำไมอสูรสมุทรแปดขาถึง เงยหัวอันแข็งแกร่งของตนเองพุ่งใส่ผนังถ้ำอยู่ไม่หยุด

หลิ่วหมิงส่ายหน้าด้วยความระอาใจ พอเหลือบตาดู กลับค้นพบว่าบนผนังหินที่หัวของปีศาจตัวนี้ชนใส่ มีรอยเว้าต่างๆ ที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้

อย่างที่รู้ว่า ในวันที่เขาสร้างถ้ำแห่งนี้ขึ้นมานั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ถ้ำถูกทำลายโดยไม่ได้ตั้งใจในขณะฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ จึงวางชั้นจำกัดป้องกันเพิ่มความแข็งแกร่งไว้รอบด้านไม่น้อย ต่อให้เขาจะใช้กำปั้นโจมตีผนังห้องลับโดยตรง ก็ต้องใช้เวลาระยะหนึ่งถึงจะทำลายได้

แต่พลังกายเนื้อของอสูรสมุทรแปดขา ยังแข็งแกร่งกว่าผนังหินในห้องลับ ดูท่าโลหิตปีศาจสวรรค์จะช่วยเพิ่มทวีความแข็งแกร่งของกายเนื้อให้กับมันด้วย

คิดมาถึงจุดนี้ ในใจหลิ่วหมิงก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา เขาอดใจรอไม่ไหวที่จะดูว่าหลังจากอสูรสมุทรกลายเป็นเกราะอสูรแล้ว จะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรใหม่ๆ อย่างไรบ้าง

พอเขาโบกมือข้างหนึ่งไปด้านหน้า สายลมเบาๆ ก็ม้วนตัวอสูรสมุทรแปดขากลับมา

หลังจากร่างของมันหดเล็กลง ก็กางหนวดสัมผัสทั้งแปดออก และแนบติดกับหน้าอกของหลิ่วหมิง

หลิ่วหมิงร่ายคาถาออกมา มือข้างหนึ่งตบลงบนหัวของอสูรสมุทรเบาๆ และปล่อยพลังเวททั้งหมดเข้าไปในนั้น ลวดลายจิตวิญญาณสีเงินบนตัวอสูรสมุทรเปล่งประกายขึ้นมา พอแสงสีเงินเปล่งประกาย อสูรสมุทรก็กลายเป็นเกราะอสูรสีเงินแวววาว

ขณะที่หลิ่วหมิงเปลี่ยนคาถานั้น เกราะหนังสีเงินก็กลายเป็นถุงมือสีเงินห่อหุ้มมือทั้งสองของเขาไว้

หลิ่วหมิงขยับตัวไปไปทางผนังถ้ำทันที และชกออกไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง

“โครมคราม!”

มีแสงสีฟ้าสลัวๆ เปล่งประกายบนผนังหิน ทันใดนั้นเศษหินก็กระเด็นออกมา และยอดเขาที่เป็นที่ตั้งของถ้ำก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง จากนั้นก็มีรอยกำปั้นลึกสองสามฉื่อปรากฏบนผนังหินอย่างชัดเจน

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็พยักหน้าด้วยความพอใจ

กำปั้นนี้มีอานุภาพมาก ต่อให้รับมือกับผู้ฝึกร่างระดับเดียวกัน อย่างเบาก็ทำให้อวัยวะภายในของฝ่ายตรงข้ามได้รับความเสียหายไม่น้อย อย่างหนักก็อาจจะร่างระเบิดจนเสียชีวิตได้

หลังจากหลิ่วหมิงเก็บถุงมือที่กลายร่างมาจากเกราะอสูรเข้าไปแล้ว ก็ค้นพบว่ามือทั้งสองไม่ได้รับความเสียหายใดๆ เลย

หากมันมีอัตราการเติบโตช่นนี้ หลังจากอสูรสมุทรเข้าสู่ระดับผลึก ระดับแก่นแท้ในภายหน้า ความแข็งแกร่งของเกราะอสูรที่มันกลายร่างมา ก็เป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การรอคอยเป็นอย่างยิ่ง

หลังจากอสูรตัวนี้เข้าสู่วัยเต็มตัวแล้ว พลังเวทที่จะใส่เข้าไปเพื่อกระตุ้นเกราะอสูรก็เพิ่มขึ้นเป็นทวี พลังเวทที่ใช้ในการทำให้เกราะทำงานก็หมดเร็วกว่าก่อนหน้านั้นมาก

หากใช้ในการต่อสู้ที่ยืดเยื้อจะต้องกลายเป็นจุดอ่อนอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ตอนนี้ก็ไม่มีวิธีการจัดการปัญหานี้ได้ดีมากนัก หลิ่งหมิงได้แต่เก็บเรื่องนี้ไว้ก่อน หลังจากเก็บเจ้าแปดขาเข้าไปแล้ว ก็หลับตาทั้งคู่และเข้าฌานอีกครั้ง…

สิบกว่าวันผ่านไป คืนที่ฝนตกหนักและมีสายฟ้าแลบราวกับอสรพิษสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังเต้นระบำอยู่ พอชายหนุ่มที่เปลือยกายท่อนบนขยับตัว ร่างของเขาก็มาปรากฏตัวในหุบเขาหินระเกะระกะแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างไกลผู้คน เขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง

จะว่าไปแล้วเจ็ดแปดปีมานี้ ดูเหมือนเขาจะอาศัยดวงตามายาปีศาจเข้าไปฝึกฝนวิชาสายฟ้าสวรรค์ในแดนมายาเกือบทุกวัน ทั้งยังให้หลัวโหวทำให้พลังของสายฟ้าสูงขึ้นอีกระดับหนึ่ง จากสายฟ้าธรรมดากลายเป็นสายฟ้าสวรรค์ ความเร็วในการฝึกฝนก็ก้าวกระโดดเป็นอย่างมาก

ขณะที่ดูดซับสายฟ้าสีทองมากยิ่งขึ้น ลูกสายฟ้าสีเงินในมือหลิ่วหมิงก็มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ สายฟ้าสีเงินกับสีทองประสานกันไปมาราวกับอสรพิษน้อยสองตัว ทำให้ลูกสายฟ้าสีเงินบนฝ่ามือของเขากลายเป็นลูกสายฟ้าขนาดใหญ่ที่มีสีเงินกับสีทองประสานกันไปมา

เมื่อแสงสีทองบนฟ้าถูกดูดซับจนหมดนั้น ลูกสายฟ้าสีเงินและสีทองบนฝ่ามือทั้งสองของหลิ่วหมิง ก็มีขนาดใหญ่หลายจั้ง

“เก็บ!”

หลิ่วหมิงกัดฟันอีกครั้ง และตะโกนออกมาเบาๆ สายฟ้าส่งเสียงดัง “เปรี๊ยะๆ!” ลูกสายฟ้าเหนือศีรษะสลายตัวเป็นไหมสายฟ้าสีเงินทองมุดเข้าไปในฝ่ามือ

เขารู้สึกเจ็บปวดจนแทบจะขาดใจ เส้นเอ็นบนแขนขาและหน้าผากนูนขึ้นมา ความรู้สึกเจ็บจนยากจะรับไว้ได้นี้ ทำให้เขาไม่อาจทรงตัวไว้ได้ และโซซัดโซเซจนเกือบล้มลงพื้น

ขณะนี้หากกระตุ้นพลังเวทมาต้านทานสักรอบ คงจะสามารถลดความเจ็บปวดบนกายเนื้อได้ แต่ก็มีความเป็นไปได้มากที่จะทำให้การฝึกฝนวิชาสายฟ้าสวรรค์ล้มเหลว และไม่รู้ว่าจะต้องรอถึงเมื่อใด ถึงจะมีคืนอัสนีบาตครั้งใหญ่อีก

หลิ่วหมิงย่อมไม่ยอมให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน เขาพยามอดกลั้นต่อความเจ็บปวด รับรู้ถึงพลังสายฟ้าสวรรค์บริสุทธิ์ที่ทะลวงไปตามเส้นชีพจรต่างๆ ในสมองก็นึกถึงเรื่องที่เขาเกือบตายหลายครั้งในก่อนหน้า

ด้วยการฝึกฝนระดับของเหลวที่ระเบิดพลังตัวอ่อนกระบี่เพื่อรับมือกับราชาปีศาจสมุทรอย่างไม่เสียดาย การต่อสู้ความเป็นความตายกับราชาโลหิตในซากปีศาจโบราณ การต่อสู้กับผู้อาวุโสจินหมานที่มีการฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ในแดนลึกลับบนเขาเหลยฉือจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด…

ผ่านเหตุการณ์เกือบตายมานับไม่ถ้วนเช่นนี้ เทียบกับสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว ความเจ็บปวดที่แฝงมากับวิชาสายฟ้าสวรรค์ไม่ใช่สิ่งที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงแต่อย่างใด

ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป สีหน้าของหลิ่วหมิงก็ค่อยๆ สงบลง เขาหยุดกลิ้งอยู่บนพื้นและค่อยๆ ลุกขึ้นมา

ความเจ็บปวดภายในร่างค่อยๆ หายไป แต่ถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกชาแทน

หลังจากผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม ภายใต้การตรวจดูภายในร่างของหลิ่วหมิง ก็ค้นพบว่าไม่มีความผิดปกติแต่อย่างใด และบนหน้าอกก็มีตราประทับสายฟ้าสีทองแปลกประหลาด

พื้นผิวตราประทับมีแสงสีเงินหมุนวน ติดๆ ดับๆ แลดูมหัศจรรย์ยิ่งนัก

เมื่อเขาลุกขึ้นมา และลองกระตุ้นเคล็ดวิชาสายฟ้าดูนั้น ก็รู้สึกว่าพลังเวทภายในร่างทะลักออกมาจากผลึกทั้งหนึ่งร้อยห้าสิบสามเม็ดอยู่ไม่หยุด และพุ่งเข้าไปในตราประทับสายฟ้าบนหน้าอก

พริบตาที่ตราประทับสายฟ้าเปล่งแสงสีทองออกมา ไหมสายฟ้าสีเงินและทองก็เลื้อยไปมาบนตัวอยู่ไม่หยุด พอยกแขนข้างหนึ่งขึ้น สายฟ้าสีเงินและสีทองทั้งสองก็รวมตัวกันบนฝ่ามืออย่างรวดเร็ว

………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา