ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 738

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 738 ทะลวง
ตอนที่ 738 ทะลวง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ดีที่วิชาสายฟ้าสวรรค์ของหลิ่วหมิงบรรลุขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว ทันใดนั้น เขาก็ทานโอสถจินหยวนไปหนึ่งเม็ด แต่ยังไม่ทันได้กลั่นเอาพลังจากโอสถ ก็โหมพลังปล่อยสายฟ้าสีเงินออกไปรับมือกับสายฟ้าสวรรค์สีเขียวที่พุ่งมาถึงตรงหน้า

ขณะนั้นเอง ผลึกทั้งหนึ่งร้อยห้าสิบสามเม็ดในร่างหลิ่วหมิงก็สั่นสะท้านเบาๆ พื้นผิวของเม็ดผลึกเต็มไปด้วยไอดำที่ค่อยๆ ลอยขึ้นมา และไอดำก็พวยพุ่งออกไป กระแสอุ่นๆ ที่ไม่อาจควบคุมได้เริ่มพุ่งไปตามส่วนต่างๆ ของเส้นลมปราณ

ขณะเดียวกัน หมึกแปดขาที่แนบติดบนหน้าอกของเขา ก็ส่งเสียงร้องออกมาอย่างแปลกประหลาด กลิ่นไอของมันก็ค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้นมา

สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปในทันที

ได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์ของอสูรจิตวิญญาณทั้งสอง โลหิตปีศาจสวรรค์ในร่างของเขากับอสูรสมุทรแปดขา ก็ถูกกระตุ้นขึ้นมาจนถึงขีดสุด ส่งผลให้พลังเวทในร่างเพิ่มขึ้นเป็นทวี จนทะลวงระดับการฝึกฝนของตนเองแล้ว

เดิมทีเขาคิดที่จะให้อสูรเลี้ยงทั้งสองบรรลุระดับแล้วคอยคุ้มกัน แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ก็ไม่อาจละทิ้งโอกาสอันดีในการทะลวงระดับผลึกขั้นปลายไปได้

ดูเหมือนหลิ่วหมิงจะโบกมือโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง จากนั้นโล่เล็กสีเหลืองสลัวๆ ก็พุ่งออกมา

พอร่ายคาถา โล่เล็กสีเหลืองก็เปล่งประกาย จากนั้นก็กลายเป็นโล่ยักษ์สีเหลืองที่กว้างสิบกว่าจั้ง และกั้นเขากับรังไหมโลหิตและลูกหินบนอากาศไว้

มันคือต้นแบบอาวุธเวท ‘โล่พสุธา’ ที่เขาซื้อมาในวันนั้น!

พอสายฟ้าสีเขียวที่ร่วงลงมาจากระลอกคลื่นสีดำกลางอากาศสัมผัสกับโล่สีเหลือง แสงสีเหลืองก็หมุนวนบนผิวโล่ ทำให้อานุภาพของมันถูกดูดซับไปส่วนหนึ่ง จากนั้นส่วนที่เหลือก็กระเด็นออกไปทั่วทิศ

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็สงบจิตเล็กน้อย และนำโอสถแฝงจิตวิญญาณออกจากแหวนย่อส่วนมาทานลงไป จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิบนพื้น เขาใช้พรสวรรค์หนึ่งจิตสองพลังกระตุ้นพลังเวททั่วร่างให้ทะลวงคอขวด เพื่อที่จะทะลวงระดับการฝึกฝนให้ได้ ขณะเดียวกันก็ปล่อยพลังเวทใส่โล่พสุธาที่อยู่ด้านบนตลอดเวลา เพื่อต้านทานการโจมตีของสายฟ้าสวรรค์ที่โจมตีเป็นระยะๆ

ส่วนปีศาจสมุทรแปดขาที่แนบติดอยู่บนตัวเขา ก็มีกลิ่นไอแข็งแกร่งและอ่อนแอสลับกันไป ความผันผวนรุนแรงมาก

แม้ว่าหลิ่วหมิงจะสร้างถ้ำในสถานที่ห่างไกลผู้คน แต่การเคลื่อนไหวที่รุนแรงเช่นนี้ ไหนเลยจะไม่ดึงดูดความสนใจของผู้คน

เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งมื้อข้าว ก็เริ่มมีแสงหลบหลีกพุ่งเข้ามาถึง และกะพริบลงบนยอดเขาบริเวณนั้น

ตอนแรกยังคงมีแค่บางตา ไม่นานก็พุ่งเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ยอดเขาแต่ละแห่งที่น้อยคนจะมาถึง เต็มไปด้วยเงาร่างจำนวนไม่น้อย ในระยะเวลาสั้นๆ แค่สองสามชั่วยาม ก็มีคนมารวมกันมากถึงหลายร้อยคน

คนเหล่านี้มีทั้งมนุษย์ และเผ่าปีศาจ แต่เนื่องจากชีพจรจิตวิญญาณของเขตพื้นที่แห่งนี้ธรรมดา จึงไม่มีผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ขึ้นไปอาศัยอยู่บริเวณนี้ ผู้ที่มาดูมีการฝึกฝนแค่ระดับผลึกเท่านั้น แม้กระทั่งยังมีผู้น้อยที่มีการฝึกฝนระดับของเหลวจำนวนหนึ่งด้วย ดูท่าเพียงแค่จะมาดูจากที่ไกลๆ เท่านั้น

แต่ว่าภายในถ้ำที่อยู่ห่างจากถ้ำที่พักของหลิ่วหมิงไปหลายสิบลี้ ผู้ฝึกฝนระดับผลึกสี่คนที่สวมชุดแตกต่างกันไป กำลังทำการกระซิบกระซาบกันอยู่

“สหายทั้งสอง ข้ากับผู้เฒ่าอู๋ได้ไปสืบมารอบหนึ่งแล้ว ต้นตอที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ฟ้าดินเช่นนี้ คือยอดเขาที่อยู่ห่างจากพวกเราไปทางตะวันตกเฉียงเหนือสิบกว่าลี้ มีมนุษย์ผู้ฝึกฝนคนหนึ่งกำลังทะลวงคอขวดอยู่ แต่ว่าปรากฏการณ์ด่านเคราะห์สายฟ้าสวรรค์แปลกประหลาดนั้น คงเกิดจากการบรรลุระดับของอสูรเลี้ยงทั้งสองของเขา ข้าใช้จิตสำรวจดูแล้ว คนผู้นี้มีการฝึกฝนระดับผลึกขั้นกลาง ส่วนอสูรเลี้ยงทั้งสอง ตอนนี้ยังอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นสมบูรณ์แบบ ดูเหมือนใกล้จะเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว” ชายเผ่าหมานวัยกลางคนที่เปลือยท่อนบน และมีหนังเสือพันอยู่บนเอวกล่าวออกมา

“อสูรเลี้ยงระดับผลึก? ดูท่าโอกาสอันดีของพวกเราจะมาถึงแล้ว” ชายเผ่าหมานร่างกายบึกบึนที่มีตาข้างเดียวได้ยินเช่นนี้ ก็เผยสีหน้าดีใจออกมา

“แต่ว่าผู้ฝึกฝนที่มีอสูรเลี้ยงระดับผลึกถึงสองตัว คิดว่าคงไม่ธรรมดา หากพวกเราลงมือสุ่มสี่สุ่มห้าล่ะก็ อาจทำให้ฝ่ายตรงข้ามโมโหขึ้นมาได้ ซึ่งนอกจากจะไม่ได้รับผลประโยชน์แล้ว ยังต้องหงายหลังกลับมาด้วย อีกอย่างดูเหมือนว่ายอดเขารอบด้านก็มีคนมารวมตัวกันไม่น้อยแล้ว” ผู้อาวุโสผอมแห้ง อายุราวๆ หกสิบถึงเจ็ดสิบปีที่อยู่ด้านข้างชายเผ่าหมานวัยกลางคนพูดเตือนขึ้นมา

“ผู้เฒ่าอู๋กังวลเกินไปแล้ว พวกเราทั้งสี่ล้วนเป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึก ท่านก็เข้าสู่ขั้นปลายแล้ว เมื่อครู่ข้าใช้จิตรับรู้กวาดดูผู้ฝึกฝนบริเวณนั้น พบว่าล้วนเป็นผู้ที่ผ่านทางมาเท่านั้น พูดถึงพลังไม่อาจสู้พวกเราทั้งสี่ได้ และอสูรเลี้ยงจิตวิญญาณทั้งสองก็กำลังบรรลุระดับ ไม่อาจเคลื่อนไหวได้ หรือว่าพวกเราทั้งสี่จะจัดการผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นกลางคนเดียวไม่ได้เชียวหรือ? ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ากับข้าก็มองเห็นแล้ว ดูเหมือนว่าคนผู้นั้นกำลังทะลวงคอขวดอยู่ ยังต้องแบ่งจิตไปควบคุมอาวุธต้านทานสายฟ้าอันน่าสะพรึงบนฟ้าด้วย ไม่มีเวลาสนใจพวกเราเลยแม้แต่น้อย พวกเราก็แค่ซ่อนตัวอยู่ในที่ลับ และลอบโจมตีเขาอย่างเงียบๆ จะต้องสังหารเขาได้ในคราเดียวอย่างแน่นอน แย่ที่สุดก็แค่ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บจนหนีไปเท่านั้น!” ชายเผ่าหมานวัยกลางคนหัวเราะ และกล่าวอย่างมีแผนในใจ

“แต่ว่าอสูรเลี้ยงสองตัว พวกเราสี่คนจะแบ่งกันอย่างไร?” ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจหน้าเหยี่ยวที่เงียบมาโดยตลอดถามขึ้นในฉับพลัน

“พี่ต้าเผิง ในเมื่อคนผู้นี้มีอสูรเลี้ยงไม่ธรรมดาถึงสองตัว คิดว่าอาวุธจิตวิญญาณ และหินจิตวิญญาณบนตัวคงมีไม่น้อย พวกเราทั้งสี่ร่วมมือกันสังหารเขาก่อน พอถึงเวลานั้นค่อยทำการแบ่งกัน ด้วยความสัมพันธ์นับร้อยปีของพวกเรา ยังต้องกลัวว่าจะเสียเปรียบอยู่หรือ?” ชายตาเดียวกล่าวอย่างไม่ถือว่าจะเป็นเช่นนั้น

คนอื่นๆ ก็มองหน้ากันทีหนึ่ง และพยักหน้าโดยพร้อมเพรียงกัน

ทั้งสี่หารือกันอีกสองสามประโยค และแยกย้ายออกจากถ้ำที่พัก จากนั้นก็กลายเป็นแสงหลบหลีกสีต่างๆ พุ่งไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ

ขณะเดียวกัน บนยอดเขาไร้นามแห่งหนึ่ง ปราณจิตวิญญาณรอบด้านที่มีอย่างเบาบาง กำลังค่อยๆ มารวมตัวกันที่ยอดเขา และด้านล่างก็ค่อยๆ ก่อตัวเป็นระลอกคลื่นพลังจิตวิญญาณ

ใจกลางระลอกคลื่นมีคนนั่งขัดสมาธิอยู่ และกำลังทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่งเพื่อควบคุมโล่พสุธาให้ต้านทานสายฟ้าจากด่านเคราะห์สวรรค์ เขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง

ขณะที่พลังของโอสถแฝงจิตวิญญาณระดับพสุธาค่อยๆ ถูกกลั่นออกมานั้น เขาก็ฝืนรับความเจ็บปวดที่คนทั่วไปยากจะแบกรับไว้ได้

ขณะนี้ ท่ามกลางกระดูกและเส้นลมปราณทั่วร่าง ล้วนเต็มไปด้วยพลังจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์อย่างถึงขีดสุด ซึ่งเกิดขึ้นจากโอสถแฝงจิตวิญญาณนั่นเอง

ขณะเดียวกัน พลังจิตวิญญาณฟ้าดินที่พวยพุ่งมาจากรอบด้าน ก็ทะลักเข้าไปในร่างของเขาอยู่ไม่หยุด ทำให้รู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกแทงหัวใจอยู่ตลอดเวลา

ดีที่ว่ากายเนื้อของเขาแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันมาก มิเช่นนั้นอาจจะเส้นเอ็นแตกกระจายจนร่างระเบิดออกมาได้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา