ขณะนั้นเอง มีแสงสีทองเปล่งประกายภายในหุบเขา รุ้งกระบี่สีทองที่ยาวหนึ่งจั้งกว่าๆ พุ่งยิงออกไป ชั่วเวลาเพียงแค่สามอึดใจ ก็พุ่งตามวิหคสีดำจนทัน
ดูเหมือนว่าวิหคตาข่ายเทาจะหวาดกลัวรุ้งกระบี่นี้มาก พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็ส่งเสียงร้องอย่างลนลาน แสงสีดำเปล่งประกายบนปีกทั้งคู่ ขณะที่กำลังจะเพิ่มความเร็วนั้น ก็ไม่อยากจะกระตุกโดนบาดแผล จึงเอียงตัวทำให้ความเร็วลดลงไปมาก
“ฟิ้ว!”
รุ้งทองคำอาศัยจังหวะนี้พร่ามัวหนึ่งที จากนั้นก็เพิ่มความเร็วไปแทงปีกขวาจนทะลุ
วิหคตาข่ายเทาส่งเสียงร้องอย่างเวทนา รูเลือดบนปีกขวาไหลออกมาอยู่ไม่หยุด ไอปีศาจสีเทาพุ่งออกจากหัวไหล่ของมัน
ไอปีศาจแผ่ขยายออกไป พริบตาเดียวก็กลายเป็นพายุหมุนที่สูงหลายสิบจั้ง คมวายุสีดำเทาจำนวนมากพุ่งออกจากพายุหมุน และพุ่งเข้าใส่รุ้งทองคำที่อยู่ตรงหน้า
แต่ว่าทั้งหมดนี้ล้วนไร้ผล แสงกระบี่สีทองม้วนตัวหนึ่งที ก็ทำลายพายุหมุนสีเทาได้อย่างอย่างง่ายดาย
หลังจากแสงกระบี่สีทองฟันคมวายุจนแตกกระจายแล้ว ความเร็วของมันก็ดูเหมือนจะไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย แสงสีทองลำหนึ่งหมุนวนรอบๆ คอวิหคตาข่ายเทาหนึ่งรอบ ครู่ต่อมา โลหิตจำนวนมากก็ทะลักออกมา หัวของปีศาจวิหคกับร่างของมันขาดออกจากกัน และร่วงลงไปอย่างไร้เรี่ยวแรง
ครู่ต่อมา พอแสงกระบี่สีทองดับลง ก็มีเงาร่างสีดำพุ่งออกมา เขามีไอดำจางๆ ปกคลุมอยู่บนตัว และมาปรากฏตัวข้างศพวิหคตาข่ายเทาราวกับปีศาจ
เขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
ชายฉกรรจ์ชุดผ้าป่านเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง
หลิ่วหมิงนำขวดเล็กๆ ออกมาดูดวิญญาณของวิหคตาข่ายเทาอย่างไม่รีบร้อน และเริ่มเก็บศพของมัน ชายชุดดำรู้สึกไม่พอใจจึงทะยานขึ้นฟ้าทันที แต่กลับถูกชายฉกรรจ์ชุดผ้าป่านคว้าตัวไว้ และตะคอกด้วยความโมโห
“เจ้าคิดจะทำอะไร รนหาที่ตายหรือ?
จากนั้นชายฉกรรจ์ชุดผ้าป่านก็ส่งสายตาให้หญิงชุดแดงทีหนึ่ง พอโบกแขนเสื้อ เมฆมงคลสามสีก็ปรากฏออกมา และม้วนตัวทั้งสามพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงกวาดสายตาดูทั้งสามที่จากไปทีหนึ่ง แต่ยังคงยุ่งกับเรื่องของตนเองด้วยสีหน้าปกติ
ผ่านไปสักพัก แสงสีดำลำหนึ่งก็พุ่งขึ้นฟ้า และพุ่งไปยังส่วนลึกของเทือกเขา เหลือไว้เพียงเศษซากศพของปีศาจวิหคที่มีสภาพไม่สมบูรณ์เท่านั้น
……
ห่างออกไปหลายสิบลี้ บนเมฆมงคลสามสีก้อนหนึ่ง ชายฉกรรจ์ชุดผ้าป่านหันหน้าไปมองด้านหลังทีหนึ่ง พอเห็นว่าไม่มีคนตามมาแล้ว ถึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมา
“พี่ใหญ่ เมื่อครู่ทำไมไม่ให้ข้าลงมือ ใยตรงข้ามมีแค่คนเดียวเท่านั้น มีท่านกับข้าและน้องสามอยู่ พวกเรายังต้องกลัวอะไรอีก?” ชายชุดดำพูดด้วยความไม่เข้าใจ
หญิงชุดแดงที่อยู่ด้านข้างก็แสดงสีหน้าฉงนออกมา และมองไปทางชายฉกรรจ์ชุดผ้าป่าน
“หึๆ! หากเมื่อครู่เจ้าลงมือจริงๆ ล่ะก็ เกรงว่าตอนนี้คงจะกลายเป็นศพแล้ว ข้ากับน้องสามเองก็คงยากที่จะรอดไปได้” ชายฉกรรจ์ชุดผ้าป่านมองดูชายชุดดำด้วยสีหน้าเยือกเย็นแล้วกล่าวออกมา
ชายชุดดำได้ยินก็รู้สึกอึ้งไปทันที
“พี่ใหญ่ ท่านบอกว่าคนเมื่อครู่……” ดูเหมือนหญิงชุดแดงจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ สีหน้าของนางจึงเปลี่ยนไปทันที
“ไม่ผิด!” ชายฉกรรจ์ชุดผ้าป่านนำผลึกกลมๆ สีแดงเพลิงออกมา มันมีขนาดแค่กำปั้น และเปล่งแสงสีแดงแวววาวอยู่
“พวกเจ้าเองก็รู้ เคล็ดวิชาแปลงจิตที่ข้าฝึกฝน ทำให้จิตรับรู้เหนือว่าผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันมาก ต่อให้จะเป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นกลาง ก็ไม่เห็นจะมีที่เหนือกว่าข้าเลย เมื่อครู่ข้าใช้สมบัติที่อาจารย์มอบให้ วัดความแข็งแกร่งและความอ่อนแอของจิตรับรู้ดูแล้ว จิตรับรู้ของเขาแข็งแกร่งมาก แม้แต่อาจารย์ของเราก็ไม่อาจเทียบได้” ชายฉกรรจ์ชุดผ้าป่านค่อยๆ กล่าวออกมาด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายลง
ชายชุดดำได้ยินย่อมมีสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก
“พี่ใหญ่กล่าวได้ถูกต้อง คนผู้นั้นสังหารวิหคตาข่ายเทาได้ภายในเวลาเทียบเท่ากับการชูแขนยกขาเท่านั้น ความแข็งแกร่งของพลังไม่ใช่สิ่งที่พวกเราสามารถต่อกรได้” หญิงสาวชุดแดงเองก็กล่าวด้วยความตกใจเล็กน้อย
“แต่ว่าชายหนุ่มผู้นั้น ข้ารู้สึกคุ้นหน้ามาก ไม่รู้ว่าเป็นยอดฝีมือจากนิกายใด กลับไปแล้วจะต้องรายงานเรื่องนี้กับอาจารย์อย่างละเอียด” ขณะที่พูดชายฉกรรจ์ชุดผ้าป่านก็ทำท่ามือไปด้วย ทำให้เมฆมงคลสามสีเพิ่มความเร็วขึ้นเล็กน้อย และพาทั้งสามพุ่งออกไปไกลๆ
……
ผ่านไปเกือบยี่สิบวัน เหนือหุบเขาที่ค่อนข้างห่างไกลผู้คนแห่งหนึ่ง
แสงหลบหลีกสีดำพุ่งมาจากขอบฟ้าที่อยู่ไกลๆ หลังจากหยุดลงเหนือหุบเขาเล็กน้อยแล้ว ก็ร่อนลงไปด้านล่าง
พอแสงสีดำดับลง เผยให้เห็นชายที่สวมชุดคลุมสีเทาคนหนึ่ง ซึ่งก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
เขาใช้กระบี่บินพลังจิตวิญญาณขุดถ้ำขนาดใหญ่แห่งหนึ่งภายในหุบเขาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง และเข้าไปอยู่ในนั้น
หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงหินภายในถ้ำ และใช้จิตกวาดดูหมึกแปดขาสีฟ้าที่แนบติดกับหน้าอก
หนึ่งปีก่อน หลังจากเขากับอสูรเลี้ยงจิตวิญญาณทั้งสองบรรลุระดับสำเร็จแล้ว อสูรสมุทรแปดขาตัวนี้ ก็บรรลุสู่ระดับของเหลวขั้นกลางเช่นกัน ไม่เพียงมีขนาดใหญ่กว่าก่อนหน้านั้น ลวดลายจิตวิญญาณสีเงินบนตัวก็ชัดเจนขึ้นมาไม่น้อย กลิ่นไอยังคงเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ในเวลาหนึ่งปีมานี้ ตอนนี้ได้เข้าใกล้ระดับของเหลวขั้นปลายแล้ว
ดูเหมือนว่าผลลัพธ์ของโลหิตปีศาจสวรรค์ที่มีต่อปีศาจอสูรตัวนี้ จะแข็งแกร่งกว่าแมงป่องกระดูกกับหัวบินเล็กน้อย เพียงแต่ว่ามันไร้ซึ่งสติปัญญาโดยสิ้นเชิง อาศัยเพียงแค่สัญชาตญาณในการดูดซับ ด้วยเหตุนี้การเปลี่ยนแปลงจึงเชื่องช้าอย่างหาที่เปรียบมิได้
หลิ่วมิงตัดสินใจไม่รบกวนสหายน้อยผู้นี้ แต่กลับทำความเข้าใจเคล็ดวิชาที่เกี่ยวข้องกับวิชาสายฟ้าสวรรค์ ในที่สุดเขาก็เริ่มเตรียมการสำหรับเหนี่ยวนำสายฟ้าเทพสวรรค์เก้าชั้นฟ้าแล้ว
เพราะผ่านการทำระดับให้มั่นคงมาเป็นเวลานานแล้ว และพลังเวทในร่างเขาก็อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา