อ่านสรุป ตอนที่ 746 เรื่องเล่าลือและเส้นทางขากลับ จาก ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet
บทที่ ตอนที่ 746 เรื่องเล่าลือและเส้นทางขากลับ คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
กระบี่บินยืดหดตัวและขยายใหญ่ขึ้นมา จากนั้นก็พุ่งเข้าหาแมงมุมจันทราแดงท่ามกลางแสงแหลมคมที่ปะปนอยู่บนอากาศ
แมงมุมจันทราแดงเห็นเช่นนี้ แสงสีแดงก็เปล่งประกายในแววตา พอได้ยินเสียงร้องดัง แสงสีแดงก็เปล่งประกายบนตัวแมงมุมทันที
พอหน้าผาหินโดยรอบสัมผัสกับแสงสีแดง ก็เกิดการลุกไหม้ขึ้นมาอย่างรุนแรง พริบตาเดียว รอบด้านแมงมุมจันทราแดงก็กลายเป็นทะเลเพลิงไปทั้งแถบ
เปลวเพลิงสีแดงพวยพุ่งอยู่ไม่หยุด และค่อยๆ เผาไหม้เป็นทะเลเพลิงสูงค้ำฟ้า คลื่นอัคคียักษ์ม้วนตัวขึ้นสูงสิบกว่าจั้ง
แมงมุมจันทราแดงไม่ขยับเขยื้อน ร่างของมันจมลงไปในคลื่นอัคคีค้ำฟ้า และถือโอกาสพลอยซ่อนตัวไปด้วย ทำให้กระบี่บินพลังจิตวิญญาณสูญเสียเป้าหมายไปทันที
หลิ่วหมิงหัวเราะอย่างเยือกเย็น และร่ายคาถาออกมา มือทั้งสองเปลี่ยนท่ามือในทันที กระบี่บินพลังจิตวิญญาณหมุนวนกลางอากาศรอบหนึ่ง จากนั้นก็เปลี่ยนจากฟาดฟัน เป็นแสงกระบี่สีทองที่กวาดออกไปพันลี้
พอแสงสีทองเปล่งประกาย คลื่นอัคคีอันคุโชนก็ถูกแสงกระบี่เย็นสะท้านกดดันจนต้องร่นถอยเป็นระยะๆ เผยให้เห็นร่างของแมงมุมจันทราแดงที่ซ่อนอยู่
พออสูรตนนี้เห็นว่าร่างของตนเองถูกค้นพบแล้ว ก็รู้สึกหวาดผวาเป็นอย่างมาก เท้าทั้งแปดดีดออกไปโดยไม่ต้องคิด และพุ่งหลบไปด้านข้างอีกครั้ง
ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงส่งเสียงคำรามออกมา และกระตุ้นเคล็ดกระบี่ทันที
กระบี่บินสีทองพร่ามัวกลายเป็นสายรุ้งอันน่าสะพรึง และม้วนตัวผ่านด้านล่างแมงมุมไป
แมงมุมจันทราแดงส่งเสียงคำรามออกมา ร่างของมันโซเซจนเกือบล้มลงพื้น ขาเล็กๆ ขาหนึ่งถูกแสงกระบี่ปั่นจนแตกละเอียด
แต่ว่าอสูรที่เสียขาไปข้างหนึ่งนี้ กลับถูกกระตุ้นความโหดร้ายออกมาจนถึงขีดสุด ทันทีที่อ้าปากขนาดใหญ่ และแสงสีแดงกะพริบผ่านไป มุกกลมๆ ขนาดเท่ากำปั้นลูกหนึ่งก็ถูกพ่นออกมา
“แก่นปีศาจ!”
พอหลิ่วหมิงหดรูม่านตาลง ก็จำของสิ่งนี้ได้ทันที
ดูเหมือนว่าปีศาจอสูรตัวนี้จะถูกหลิ่วหมิงกระตุ้นความโมโหจนถึงขีดสุด และเริ่มที่จะสู้ตายแล้ว
แก่นแท้สีแดงเพลิง หมุนติ้วๆ กลายเป็นลูกเปลวไฟยักษ์ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางหนึ่งจั้งกว่า และพุ่งชนใส่หลิ่วหมิงราวกับฝนดาวตก
หลิ่วหมิงทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่งโดยไม่ต้องคิด ปีกสีเงินคู่หนึ่งปรากฏขึ้นบนหลัง พอกระพือแรงๆ “ฟู่!” ก็หายจากที่เดิมอย่างไร้ร่องรอย
ลูกเปลวไฟยักษ์ส่งเสียงดัง “ตู๊ม!” และม้วนตัวผ่านจุดเดิมที่หลิ่วหมิงเคยยืนอยู่
ครู่ต่อมา เกิดคลื่นสั่นสะเทือนด้านหลังแมงมุม และเงาร่างพร่ามัวก็ปรากฎออกมา
แต่ขณะนั้นเอง ความบ้าคลั่งในแววตาของแมงมุมจันทราแดงก็หายไปในพริบตา การพ่นแก่นปีศาจออกมาในก่อนหน้านั้น เป็นเพียงการกระทำโดยเจตนาล่อศัตรูเท่านั้น ในทางตรงกันข้าม ก้นของมันกลับแอ่นขึ้นเล็กน้อย พอแสงสีแดงเปล่งประกาย ใยแมงมุมสีแดงก็ถูกพ่นออกมา และกะพริบไปปกคลุมเงามนุษย์ที่อยู่ด้านหลัง จากนั้นก็กลายเป็นรังไหมสีแดงทันที
แมงมุมจันทราแดงส่งเสียงร้องด้วยความลำพองใจ มันพ่นเปลวไฟสีแดงใส่รังไหมสีแดงหนึ่งที จะเห็นว่ารังไหมสีแดงถูกจุดโดยเปลวไฟสีแดงจนเผาไหม้อย่างรุนแรง และกลายเป็นควันสีเขียวในทันที
ขณะนั้นเอง เกิดเสียงดังก้องฟ้า!
แสงสีทองจางๆ ปรากฏตัวด้านหลังแมงมุมจันทราแดงอย่างไร้สุ้มเสียง มันกะพริบแค่ทีเดียว ก็ฟันใส่หลังแมงมุมที่หลบไม่ทัน
“เพล้ง!”
แสงสีแดงเปล่งประกายบนหลังแมงมุมจันทราแดง ทำให้ผิวของมันแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบมิได้ จึงไม่สามารถผ่ามันเป็นสองซีกได้ แต่กลับทิ้งรอยบาดแผลลึกๆ ที่ยาวจั้งกว่าๆ ไว้ โลหิตสีแดงเพลิงทะลักออกมา
แมงมุมจันทราแดงได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ ร่างของมันก็กลิ้งตัวและกระโดดถอยออกไปหลายจั้ง ดวงตาทั้งคู่มีแสงสีแดงเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง ดูเหมือนคิดไม่ออกว่าเหตุใดฝ่ายตรงข้ามถึงหลุดออกจากใยแมงมุมมาได้
มีความเยาะเย้ยในแววตาของหลิ่วหมิง แม้แมงมุมจันทราแดงตัวนี้จะเจ้าเล่ห์มาก แต่หากพูดถึงประสบการณ์การต่อสู้ ไหนเลยจะเทียบกับเขาได้
สิ่งที่ถูกห่อหุ้มอยู่ในใยแมงมุม เป็นแค่เงาร่างหนึ่งที่เกิดจากการใช้เคล็ดวิชาเงาร่างสามส่วนสร้างขึ้นมาเท่านั้น
เรื่องนี้เขาย่อมไม่ต้องไปอธิบายอะไรให้กับปีศาจอสูรตัวนี้ พอโบกมือข้างหนึ่ง กระบี่บินกลางอากาศก็สั่นสะท้าน และกลายเป็นแสงสีทองพุ่งยิงออกไป
ในที่สุดแมงมุมจันทราแดงก็เผยสีหน้าหวาดกลัวออกมา ขาทั้งเจ็ดข้างออกแรงพร้อมกัน จากนั้นก็พุ่งออกไปนอกถ้ำ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย จากนั้นก็เผยรอยยิ้มเยาะ
โครมคราม!
เสาหินแหลมคมสิบกว่าต้นพุ่งออกจากถ้ำบนพื้น และพุ่งใส่ท้องแมงมุมจันทราแดงอย่างรุนแรง แม้ว่าจะไม่อาจแทงทะลุร่างของมันไปได้ แต่ก็ทำให้มันกระเด็นออกไป
ไม่รู้ว่าหญิงสาวชุดดำที่กลายร่างมาจากแมงป่องกระดูกมุดอยู่ในพื้นบริเวณนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ และขัดขวางแมงมุมจันทราแดงได้ทันเวลาพอดี
ขณะที่แมงมุมจันทราแดงกลางอากาศยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองนั้น ก็มีแสงสีเขียวเปล่งประกายบนหน้าผาหินบริเวณนั้น เด็กชายเสื้อเขียวมาปรากฏตัวออกมาอย่างไร้สุ้มเสียง พออ้าปาก ก็พ่นเปลวไฟสีเทาออกมาโจมตีลงบนหัวแมงมุมโดยที่มันไม่ได้ทันได้ระวัง
และเปลวไฟสีเทาของหัวบิน เป็นเปลวไฟเหม็นที่เกิดจากการรวมตัวของไอเหม็นในร่างชนิดหนึ่ง ซึ่งได้รับถ่ายทอดมาจากโลหิตปีศาจสวรรค์ ไม่เพียงแต่จะสามารถปนเปื้อนอาวุธจิตวิญญาณชนิดต่างๆ เท่านั้น ทั้งยังมีความสามารถในการกัดกร่อนอย่างคาดไม่ถึง
ต่อให้ร่างของแมงมุมจะแข็งแกร่งเพียงใด พอถูกเปลวไฟเหม็นนี้โจมตี ก็ต้องร้องอย่างเวทนา และร่วงลงมาโดยตรง
ขณะนั้นเอง สายรุ้งสีทองก็ม้วนตัวเข้ามา และพร่ามัวแยกตัวเป็นสอง แสงแวววาวที่แสงกระบี่สีทองสองลำพุ่งออกมา หมุนวนรอบตัวแมงมุมจันทราแดง และฟันหัวของมันในทันที
“ฉับ!” โลหิตสาดกระเซ็น!
หัวขนาดใหญ่ของแมงมุมหลุดออกจากคอ และร่วงลงพื้น
ชั่วเวลาหนึ่งเค่อผ่านไป แสงสีดำก็พุ่งขึ้นกลางอากาศ และพุ่งออกไปไกลๆ อย่างรวดเร็ว
ศิษย์สายในที่พบเจอในเทือกเขาหมื่นวิญญาณส่วนนอก ทำให้เขาเหลือบตามองอย่างอดไม่ได้ แต่กลับต้องรู้สึกอึ้งไปเล็กน้อย
“เอ๊ะ! เป็นเจ้า?”
ขณะที่คนเหล่านี้เหาะผ่านด้านข้างของหลิ่วหมิงนั้น น้ำเสียงเยือกเย็นก็ดังขึ้นมา จากนั้นศิษย์เหล่านี้ก็ค่อยๆ หยุดแสงหลบหลีกลง
ครู่ต่อมา ชายชุดผ้าแพรที่มีสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อยก็เหาะออกมาก่อน
“ที่แท้ก็เป็นพี่ซานั่นเอง ไม่ได้พบกันนานเลย” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างราบเรียบ คิดไม่ถึงว่าเพิ่งกลับมา ก็เจอกับคนรู้จักแล้ว
ชายชุดผ้าแพรตรงหน้าก็คือซาทงเทียนจากยอดเขากระบี่สวรรค์นั่นเอง
ผ่านไปยี่สิบกว่าปี รูปร่างหน้าตาของคนผู้นี้ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก แต่ว่าการฝึกฝนกลับรุดหน้าไปไม่น้อย ซึ่งได้เข้าสู่ระดับผลึกขั้นกลางแล้ว คลื่นไอกระบี่ที่แผ่ออกมาจากตัวก็ดุเดือดรุนแรงกว่าเดิม
อย่างที่รู้ว่าหลังจากเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว การยกระดับการฝึกฝนไม่ได้ง่ายเหมือนระดับของเหลว ทุกระดับขั้นล้วนกลายเป็นคอขวดได้ ผู้ฝึกฝนที่ติดชะงักอยู่เป็นเวลาร้อยกว่าปีก็มีไม่น้อย ซึ่งเป็นเรื่องที่พบได้เป็นปกติ
ส่วนศิษย์ยอดเขากระบี่สวรรค์คนอื่นๆ ล้วนดูแปลกหน้า การฝึกฝนก็อยู่ที่ระดับผลึกขั้นต้นเท่านั้น แม้กระทั่งยังมีระดับของเหลวอยู่คนหนึ่งด้วย
“ดีมาก! ในที่สุดพี่หลิ่วก็กลับมานิกายแล้ว หลังจากจากกันในครั้งกัน ข้าผู้แซ่ซาก็รอวันที่จะได้พบกับท่านอีก” ซาทงเทียนจ้องมองหลิ่วหมิงแล้วค่อยๆ กล่าวออกมา
หลิ่วหมิงได้ยินก็โปรยยิ้มพราย
ดูท่าศิษย์ระดับสูงของยอดเขากระบี่สวรรค์ผู้นี้ ยังคงนึกถึงเรื่องที่พ่ายแพ้เขาในตอนนั้นอยู่ตลอดเวลา
“เอ๊ะ…!”
พอซาทงเทียนสังเกตดูหลิ่วหมิงอย่างละเอียด ก็พลันมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ทั้งสองยืนเผชิญหน้ากัน แต่เขากลับไม่รับรู้ถึงกลิ่นไอของหลิ่วหมิงเลยแม้แต่น้อย ในใจจึงรู้สึกเย็นสะท้านอย่างช่วยไม่ได้
“อ๋อ! หรือว่าพี่ซามีสิ่งใดจะชี้แนะหรือ?” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ถามกลับไปด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม
ก่อนหน้านี้เขาสังหารปีศาจอสูรระดับสูงในหนานฮวงไปไม่น้อย และให้ ‘เชอฮ่วน’ ดูดซับวิญญาณปีศาจ ตอนนี้ได้ทำการปรับแต่งจนนับว่าสำเร็จไปขั้นต้นแล้ว สามารถปิดบังกลิ่นไอได้ตลอดเวลา
นอกจากเขายินยอมเท่านั้น มิเช่นนั้นต่อให้จะเป็นระดับดาราพยากรณ์ ก็ยากที่จะมองระดับการฝึกฝนของเขาออกได้
“ไม่บังอาจชี้แนะได้ แต่ว่าตั้งแต่แลกมือกับพี่หลิ่วในครั้งนั้น ข้าได้รับประโยชน์ค่อนข้างมาก ไม่ทราบว่าพี่หลิ่วจะกล้าประลองฝีมือกับข้าหรือไม่?” ซาทงเทียนละทิ้งความสงสัยไป และกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา