ก่อนหน้านั้นไม่นาน ยังได้ระดมทรัพยากรจำนวนมากจากตระกูล ใช้ความตั้งใจจนหลอมกระบี่บินพลังจิตวิญญาณขึ้นมาได้ พูดได้ว่าพลังแท้จริงก้าวหน้าไปมาก
ตอนนี้แม้ว่าซาทงเทียนจะรู้สึกตกใจที่ไม่อาจรับรู้กลิ่นไอของหลิ่วหมิงได้ แต่ก็ยังเชื่อมั่นในพลังของตัวเองมากกว่า ด้วยเหตุนี้จึงท้าสู้โดยไม่ต้องคิดอะไรให้มาก
“ก็ดีเหมือนกัน ในเมื่อพี่ซาชอบเช่นนี้ ข้าน้อยก็จะรับคำท้าแล้ว” หลิ่วหมิงครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นก็ตอบรับโดยไม่ต้องพูดอะไรให้มาก
ศิษย์ยอดเขากระบี่สวรรค์คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ ก็กระซิบกระซาบกันอยู่ครู่หนึ่ง และมองดูหลิ่วหมิงด้วยสายตาที่แตกต่างกันไป
เพราะหลิ่วหมิงก็มีชื่อเสียงไม่น้อยในบรรดาศิษย์ใหม่ ตอนนี้ตอบรับคำท้าประลองของซาทงเทียนแล้ว ย่อมทำให้พวกเขารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
“ดีมาก! พวกเราก็ไม่ต้องไปไกลเกินไป ไปทำการประลองบนยอดเขาหยวนหมิงที่อยู่บริเวณนี้ก็พอ” พอซาทงเทียนเห็นหลิ่วหมิงตอบรับแล้ว เขาก็เผยรอยยิ้มออกมา และเอามือลูบถุงกระบี่บนเอว
หลิ่วหมิงย่อมไม่มีข้อขัดค้านแต่อย่างใด
ดังนั้นพอร่างของซาทงเทียนพร่ามัว ก็กลายเป็นแสงกระบี่สีขาวบริสุทธิ์พุ่งไปยังทิศทางบางแห่ง
คนอื่นๆ ที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนี้ ก็ค่อยๆ กลายเป็นแสงหลบหลีกพุ่งตามไป
หลิ่วหมิงเองก็เผยรอยยิ้มจางๆ พอแสงสีดำม้วนตัวใต้เท้า เขาก็ค่อยๆ ตามพวกเขาไป
ไม่นาน พวกเขาก็มาถึงลานประลองบนยอดเขาขนาดใหญ่ลูกหนึ่ง
ขณะนี้เป็นเวลาเช้าตรู่พอดี ในลานประลองมีศิษย์สายในที่มาแลกมือกันจำนวนไม่น้อย พอซาทงเทียนและคนอื่นๆ มาถึง ก็ก่อให้เกิดความฮือฮาขึ้นมา
ประจักษ์ชัดว่า ซาทงเทียนมีชื่อเสียงในยอดเขานี้ไม่น้อย
ส่วนหลิ่วหมิงเดิมทีก็มีรูปร่างหน้าตาธรรมดาอยู่แล้ว นอกจากงานประลองใหญ่ในนิกายปีนั้นแล้ว หลายปีมานี้ก็ไม่ค่อยปรากฏตัวในนิกาย ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีคนจำเขาได้
หลิ่วหมิงย่อมไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ เพียงแค่เดินตามซาทงเทียนเข้าไปรอคอยอยู่ใต้แท่นประลองที่ใหญ่ที่สุดกลางลานประลองอย่างเงียบๆ
ศิษย์ที่เดิมทีกระจัดกระจายอยู่เห็นเช่นนี้ ย่อมเข้าใจอะไรขึ้นมา พวกเขาจึงมารวมตัวกัน ไม่นานแท่นประลองแห่งนี้ก็ถูกล้อมรอบจนแน่นขนัด มีเสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นมาเป็นระลอกๆ พวกเขาต่างก็ทำการคาดเดากันอยู่ว่า ผู้ฝึกกระบี่ที่มีชื่อเสียงในนิกายผู้นี้ กำลังจะลังจะประลองกับผู้ใดกันแน่
ไม่นาน สายรุ้งสีขาวสายหนึ่งก็พุ่งมาจากขอบฟ้าที่อยู่ไกลๆ
ฝูงชนยังไม่ทันรู้ตัว สายรุ้งสีขาวก็ร่วงลงตรงหน้าซาทงเทียนและคนอื่นๆ หลังจากแสงสีขาวดับลง ก็เผยให้เห็นชายวัยกลางคนที่สวมชุดสีขาวผู้หนึ่ง
เจี๊ยวจ๊าวที่ดังอยู่รอบๆ เงียบลงในฉับพลัน
“ผู้อาวุโสหลง!” ซาทงเทียนและคนอื่นๆ โค้งตัวคารวะทันที ท่าทีของพวกเขาดูนอบน้อมเป็นอย่างมาก
หลิ่วหมิงเองก็ทำการคารวะไปหนึ่งที
ชายชุดขาวผู้นี้เป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ คงเป็นผู้อาวุโสบนยอดเขาหยวนหมิงแห่งนี้ ซึ่งถูกซาทงเทียนและคนอื่นๆ เชิญมาเป็นผู้ตัดสิน
กลุ่มคนที่ยืนอยู่ในแถวเดียวกับซาทงเทียน มีคนออกไปอธิบายสถานการณ์ให้กับชายชุดขาวเบาๆ พอชายชุดขาวได้ยินก็พยักหน้าให้ซาทงเทียนกับหลิ่วหมิงเล็กน้อย และกล่าวออกมา
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ในเมื่อศิษย์หลานทั้งสองต้องการประลอง ข้าจะเป็นผู้ดำเนินการเอง แต่ว่าจำไว้ให้ดีว่า การแลกมือระหว่างศิษย์สายในด้วยกัน ให้สิ้นสุดลงในช่วงที่สำคัญ อย่าได้ตั้งใจทำร้ายคู่ต่อสู้เป็นอันขาด” ชายชุดขาวเตือนด้วยสีหน้าจริงจัง
“ย่อมเป็นเช่นนั้น”
“ทราบ!”
หลิ่วหมิงและซาทงเทียนตอบรับไปทีหนึ่ง จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปบนแท่นประลอง และจ้องมองกันอยู่ไกลๆ
ชายชุดขาวเห็นเช่นนี้ ก็ยกแขนเสื้อเปิดเกราะป้องกันครึ่งวงกลมสีขาวปกคลุมแท่นประลองไว้
ศิษย์ที่อยู่ด้านล่างแท่นประลองเห็นเช่นนี้ ก็ฮือฮากันอยู่พักหนึ่ง และพากันมองดูด้วยความสนใจ
ขณะที่ชายชุดขาวกวาดสายตาลงบนตัวหลิ่วหมิงนั้น แววตาของเขาก็เผยความประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
เขาย่อมค้นพบว่ากลิ่นไอบนตัวหลิ่วหมิงขาดๆ หายๆ และไม่อาจสืบดูระดับการฝึกฝนได้ แต่ย่อมไม่คิดว่าหลิ่วหมิงก็เป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้อย่างแน่นอน เพียงแต่คิดว่ามีสมบัติวิเศษบางอย่างช่วยปิดบังไว้เท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้ใส่ใจมากนัก
“ตั้งแต่ข้าทราบว่าพี่หลิ่วบรรลุระดับผลึกแล้ว ข้าก็รอคอยที่จะได้ประลองกับท่านอย่างสมใจอยากสักครั้ง น่าเสียดายที่ตอนนั้นตระกูลข้ามีเรื่องรัดตัว และพี่หลิ่วก็ออกไปนอกนิกายอย่างเงียบๆ การประลองนี้จึงยืดเยื้อมาถึงตอนนี้” ซาทงเทียนที่อยู่บนแท่นประลองกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น
“อ๋อ! หรือว่าพี่ซายังติดใจเรื่องของศิษย์น้องจินในปีนั้นอยู่?” หลิ่วหมิงเลิกคิ้วถามกลับไป
“เรื่องของศิษย์น้องจิน ข้าลืมไปหมดแล้ว ศึกกับท่านในครั้งนี้ เพียงแค่อยากวัดฝีมือกับพี่หลิ่วเท่านั้น” ซาทงเทียนกล่าวอย่างราบเรียบ พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง กลิ่นไอกระบี่บนตัวก็พุ่งขึ้นฟ้า
ศิษย์ที่ล้อมดูอยู่เห็นเช่นนี้ ก็พากันกระซิบกระซาบขึ้นมาอีกครั้ง
“คำพูดของพี่ซาดูมั่นใจเหลือเกิน หรือว่าอาศัยกระบี่บินพลังจิตวิญญาณเพียงเล่มเดียว ก็คิดว่าจะเอาชนะได้แล้วหรือ?” หลิ่วหมิงถามด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม
ขณะที่พูด สายตาของเขาก็เหลือบไปมองถุงกระบี่สีขาวบนเอวซาทงเทียนโดยมิได้ตั้งใจ
“ถึงแม้ว่าจะมีถุงกระบี่กั้นอยู่ พี่หลิ่วยังสามารถรับรู้ถึงกระบี่บินพลังจิตวิญญาณของข้าได้ ดูท่าการฝึกฝนสายกระบี่ของท่านคงรุดหน้าไปมาก ถ้าอย่างนั้นก็คุ้มค่าที่จะประลองกันแล้ว” ซาทงเทียนมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย และรีบกล่าวออกมาอย่างไม่ใส่ใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา