“ออมมือแล้ว!” หลิ่วหมิงกุมมือคารวะแล้วกล่าวไปหนึ่งประโยค จากนั้นก็กระโดดลงจากแท่นประลองแล้วเดินออกไป
คนที่ล้อมดูอยู่ต่างก็รีบพากันหลีกทางให้กับเขา ชายชุดขาวมองดูเงาร่างของหลิ่วหมิงด้วยแววตาครุ่นคิดเล็กน้อย
หนึ่งชั่วยามต่อมา แสงสีดำลำหนึ่งก็ร่วงลงบนยอดเขาลั่วโยว พอแสงสีดำเปล่งประกาย เงาร่างของหลิ่วหมิงก็ปรากฏออกมา
หน้าวิหารใหญ่ของยอดเขาลั่วโยว มีศิษย์ชุดดำที่ดูแปลกหน้าสองคนยืนรักษาการณ์อยู่ พอเห็นหลิ่วหมิงเดินเข้ามา ก็รีบเดินออกไปรับทันที
“ศิษย์พี่ผู้นี้มาเยือนยอดเขาลั่วโยว มีเรื่องอันใดให้ช่วยเหลือหรอกหรือ?” แม้ว่าทั้งสองจะไม่รู้จักหลิ่วหมิง แต่ว่าแรงกดดันจิตวิญญาณที่หลิ่วหมิงแผ่ออกมา เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้ฝึกฝนระดับผลึกเลย ทั้งสองจึงรับรู้ได้ทันที และกล่าวอย่างนอบน้อม
หลิ่วหมิงเอามือลูบจมูกและยิ้มอย่างขมขื่น
เขาเป็นศิษย์ยอดเขาลั่วโยว แต่เวลาส่วนมากจะฝึกฝนอยู่ด้านนอก ศิษย์ที่เฝ้าประตูไม่รู้จักก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
“ข้าหลิ่วหมิง เป็นศิษย์ยอดเขาลั่วโยวเช่นกัน วันนี้ตั้งใจมาคารวะและเยี่ยมเยียนอาจารย์ที่เป็นผู้ควบคุมยอดเขา” หลิ่วหมิงยักไหล่แล้วแสดงออกถึงสถานะของตนเอง
“ที่แท้ก็เป็นศิษย์พี่หลิ่ว ได้ยินชื่อเสียงของศิษย์พี่มานานแล้ว เป็นเกียรติอย่างยิ่ง เป็นเกียรติอย่างยิ่ง! พวกข้าเป็นศิษย์ที่มาผลัดเปลี่ยนเวรบนยอดเขาลั่วโยวเมื่อไม่นานมานี้” ศิษย์เฝ้าประตูทั้งสองเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา พวกเขารีบคารวะหลิ่วหมิง และแอบสังเกตดูอยู่ไม่หยุด
หลิ่วหมิงรับคารวะ จากนั้นก็ถามเรื่องเกี่ยวกับอินจิ่วหลิง
“ศิษย์พี่ช่างไม่บังเอิญเลยเสียจริง! ท่านผู้ควบคุมยอดเขาประกาศเก็บตัวฝึกฝนเมื่อหลายเดือนก่อนอย่างกะทันหัน ตอนนี้นับดูแล้ว อาจจะต้องรออีกครึ่งค่อนเดือนถึงจะออกจากการเก็บตัว” หนึ่งในศิษย์ที่เฝ้าระตูกล่าวอย่างนอบน้อม
“อ๋อ! เป็นเช่นนี้หรอกหรือ เช่นนั้นอีกครึ่งเดือนให้หลังข้าค่อยมาเยี่ยมเยียนใหม่” หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าช่วงเวลาที่เขากลับมานั้นจะโชคร้ายเล็กน้อย ดังนั้นจึงรีบกล่าวคำอำลา และออกไปจากบนยอดเขา
“เขาก็คือศิษย์พี่หลิ่วที่ร่ำลือกันหรือ ได้ยินมาว่าไม่ได้เข้ามาเป็นศิษย์สายในเพราะผู้อาวุโสท่านใดชอบใจในตัวเขา แต่กลับฝ่าด่านทดสอบของเจดีย์ซวีหลิงเข้ามา”
“ว่ากันว่าศิษย์พี่หลิ่วผู้นี้มีพลังน่าตกใจมาก เคยช่วยอินจิ่วหลิงผู้ควบคุมยอดเขาทำงานใหญ่สำเร็จ ด้วยเหตุนี้จึงถูกรับเป็นศิษย์สายตรง หลังจากนั้นไม่นานก็บรรลุเข้าสู่ระดับผลึก แต่ได้ยินมาว่าในช่วงยี่สิบปีมานี้ ล้วนไปฝึกฝนอยู่ภายนอก ไม่รู้ว่าตอนนี้เข้าสู่ระดับใดแล้ว!”
ศิษย์เฝ้าประตูทั้งสองกระซิบกันเบาๆ สองประโยค จากนั้นก็เก็บอาการบนใบหน้า และทำการพิทักษ์วิหารใหญ่ต่อ
เพราะศิษย์สายในที่มีชื่อเสียงระดับหลิ่วหมิง อยู่ห่างจากศิษย์สายนอกที่ยังต้องผลัดเปลี่ยนมาอยู่เวรเพื่อแลกแต้มคุณูปการอย่างพวกเขามาก แม้ว่าในใจจะรู้สึกอิจฉา แต่ก็ไม่อาจมีความคิดอื่นๆ ได้
หลิ่วหมิงไปจากด้านบนยอดเขาลั่วโยวด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย ไม่นานก็กลับมาถึงถ้ำที่พักของตัวเอง
ประตูหินค่อยๆ เปิดออก ทุกอย่างภายในถ้ำที่พักยังคงเป็นเหมือนเดิม ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ เลยแม้แต่น้อย
เพียงแต่ว่าไม่มีคนอยู่มานานขนาดนี้ บนพื้นและตามสถานที่ต่างๆ จึงเต็มไปด้วยฝุ่น
เขาถอนหายใจเบาๆ จากนั้นก็ครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว พอตบถุงหนังบนเอว เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์ก็ถูกเรียกออกมา หลังจากสั่งให้ทั้งสองทำความสะอาดแล้ว ตนเองก็เข้าไปหลับในห้องนอนเป็นการใหญ่
การเดินทางติดต่อกัน ทั้งยังทำการประลองกับซาทงเทียนไปอีกรอบ ทำให้จิตใจเขารู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก
หนึ่งคืนผ่านไปโดยไม่มีเรื่องใดๆ เกิดขึ้น
เช้าตรู่วันที่สอง พอหลิ่วหมิงตื่นขึ้นมา ก็รู้สึกเต็มไปด้วยพลัง
ตอนนี้นับดูแล้ว อีกครึ่งเดือนอินจิ่วหลิงถึงจะออกจากการเก็บตัว ช่วงเวลาเหล่านี้เขาไม่อาจทำตัวให้ว่างได้
หลังจากเขาคิดไตร่ตรองเล็กน้อยแล้ว ก็เดินเข้าไปในห้องลับ และเข้าไปในห้องว่างเปล่าลึกลับอีกครั้ง
ตั้งแต่ช่วยเขาประทับสายฟ้าเทพสวรรค์เก้าชั้นฟ้าแล้ว หลัวโหวก็ไม่ปรากฏตัวมาช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว
สำหรับการปรากฏตัวผลุบๆ โผล่ๆ ของหลัวโหวนั้น หลิ่วหมิงเองก็นับว่าเคยชินแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้คิดอะไรมาก
เขาค่อยๆ ก้าวไปด้านหน้าศิลาหุนเทียน พอยื่นมือข้างหนึ่งวางลงบนแท่นศิลา พลังจิตก็ทะลักเข้าไปในนั้นอย่างต่อเนื่อง
บรรยายกาศรอบด้านพร่ามัวทีหนึ่ง จากนั้นหลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวท่ามกลางภูเขาที่แห้งแล้งในยามค่ำคืน ด้านหลังที่อยู่ห่างออกไปไกลๆ เงาร่างที่มีแสงสีม่วงเปล่งประกายกำลังพุ่งเข้ามา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ทำท่ามือโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง แสงสีทองเจิดจ้าลำหนึ่งม้วนตัวออกไป มันยกร่างของเขาขึ้นมา และพุ่งออกไปไกลๆ
เขากำลังจำลองฉากที่ถูกปีศาจสายฟ้าล่าสังหารในดินแดนทางตอนใต้ แต่ว่าท้องฟ้ากลับกลายเป็นเวลากลางคืนที่มืดสนิท
แต่พอได้ยินเสียงสายฟ้าที่ผสมปนเปกับแสงสีแดงดังขึ้นด้านหลัง ความเร็วของปีศาจสายฟ้าก็เพิ่มขึ้นมามาก
หลิ่วหมิงปล่อยพลังเวทเข้าไปในกระบี่บินว่างเปล่า ทำให้ความเร็วของมันก็เพิ่มขึ้นมาไม่น้อย แต่ไม่มีเคล็ดวิชาเกราะอสูรที่กลายเป็นปีกสีเงินคอยช่วย แม้ว่าจะเข้าสู่ระดับผลึกขั้นปลายแล้ว ยังไม่อาจเทียบกับปีศาจสายฟ้าได้
แต่ว่าเขาทำท่ามือด้วยมือทั้งสองอย่างมีแผนในใจ พลังเวทบริสุทธิ์เป็นสายๆ พุ่งเข้าไปในสายรุ้งสีทองที่ห่อหุ้มร่างไว้
“ฟิ้ว!”
พอแสงสีทองปรากฏตัวที่ใต้เท้า เงากระบี่ขนาดใหญ่ก็ปรากฏออกมา แต่ครู่ต่อมา แสงทรงกลดสีขาวก็แผ่ออกจากเงากระบี่ และกลายเป็นไหมแสงสีขาวจางๆ ก่อนโบกสะบัดอย่างบ้าคลั่ง
มันคือพลังแม่เหล็กที่แฝงมากับกระบี่บินว่างเปล่านั่นเอง
ครู่ต่อมา ดูเหมือนว่าบนท้องฟ้าสีดำจะมีดวงดาวเปล่งประกายอยู่หลายดวง จากนั้นเงากระบี่ยักษ์รอบด้านก็มีสะเก็ดดาวสีขาวน้ำนมเป็นจุดๆ ค่อยๆ ร่วงลงมาจากท้องฟ้า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา