หลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็มีอารมณ์ฮึกเหิมขึ้นมา และอ้าปากพ่นพลังเวทบริสุทธิ์ใส่ยันต์นักรบพลังผ้าเหลือง
ยันต์นักรบพลังผ้าเหลืองเปล่งแสงสีทองอร่าม เงาร่างมนุษย์สลัวๆ เงาหนึ่งค่อยๆ ปรากฏออกมา
“เร็ว!” หลิ่วหมิงเพ่งตามอง และปล่อยพลังลึกลับลงบนยันต์สีทองอร่าม แสงสีเขียวถูกห่อหุ้มอยู่ในนั้นอย่างลางๆ จากนั้นก็กะพริบหายเข้าไประหว่างคิ้วของเงาร่างมนุษย์
เงาร่างมนุษย์สั่นสะท้านอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นแสงสีทองเจิดจ้าก็เปล่งประกายในฉับพลัน หลังจากแสงสีทองดับลง ใบหน้าที่ดูพร่ามัวก็สั่นสะท้านสองสามที จากนั้นก็เผยนิสัยของมนุษย์ออกมา
หลิ่วหมิงมองดูและปล่อยพลังลึกลับออกไปอีกหลายสาย
ผลลัพธ์คือพอเงาร่างมนุษย์ดูดซับพลังไปแล้ว ร่างก็ดูชัดเจนขึ้นมา เมื่อหลิ่วหมิงหยุดปล่อยพลังออกมานั้น เงาร่างก็กลายเป็นกึ่งโปร่งแสง และใบหน้าก็มีส่วนคล้ายกับหลิ่วหมิงแปดเก้าส่วน เพียงแต่ว่ามันหลับตาทั้งคู่ และยืนนิ่งอยู่กลางอากาศ ผิวเป็นสีทองอร่ามทั้งตัว แลดูเหมือนจริงเป็นอย่างมาก
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็เผยแววตาดีใจออกมา เขาเดินวนดูร่างแบ่งของยันต์พลังผ้าเหลืองไปหนึ่งรอบ หลังจากครุ่นคิดอย่างรวดเร็วแล้ว ก็ปล่อยพลังใส่เข้าไปบนตัวนักรบยันต์พลังผ้าเหลือง
ครู่ต่อมา แสงสีทองก็เปล่งประกายบนตัวนักรบยันต์พลังผ้าเหลือง มันลืมตาทั้งคู่ขึ้นมาทันที ใบหน้าเย็นยะเยือก ไร้ซึ่งความรู้สึก เพียงแต่ว่าในส่วนลึกของแววตามีพลังจิตวิญญาณปรากฏอยู่รำไร
หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งคู่ลง รู้สึกถึงภาพลวงตาอยู่ลางๆ นักรบยันต์ผ้าเหลืองในตอนนี้ ดูเหมือนจะเชื่อมผนึกกับตัวเองอย่างแปลกประหลาด
ภายใต้การคิดพิจารณาเล็กน้อย เขาก็กระตุ้นพลังนักรบพลังผ้าเหลืองตามที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ทันที
ร่างแบ่งพลังผ้าเหลืองทำเสียงฮึดฮัดทันที มือเท้าพร่ามัวอยู่ครู่หนึ่ง กำปั้นทั้งคู่ชกผ่านอากาศไปทางผนังถ้ำ
ท่ามกลางไอดำที่แผ่กระจาย มีเสียงมังกรร้องพยัคคำรามดังอยู่ไม่หยุด มังกรหมอกตัวห้าตัวกับพยัคฆ์หมอกดำห้าตัวก่อตัวขึ้นมาจากแขนทั้งสองข้างของนักรบยันต์พลังผ้าเหลืองอย่างรวดเร็ว และพุ่งใส่ผนังถ้ำพร้อมกัน
“โครมคราม!”
ผนังถ้ำอันแข็งแกร่งสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ภายใต้ไอดำอันพวยพุ่ง มีก้อนหินและเศษทรายร่วงลงมาราวกับแผ่นดินไหว
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย พอเอามือข้างหนึ่งแตะระหว่างคิ้ว กระบี่เล็กสีทองจางๆ เล่มหนึ่งก็ปรากฏออกมา พอสั่นไหวตามลม มันก็กลายเป็นกระบี่ที่ยาวสองฉื่อแปดชุ่นและหมุนอยู่กลางอากาศ มันแผ่แสงสีทองจางๆ ออกมา
หลิ่วหมิงดูดกระบี่บินเข้ามาในมือ และแทงกระบี่ออกไปอย่างไม่ใส่ใจ “ฟิ้ว!” แสงกระบี่ลำหนึ่งพุ่งยิงออกมา และยิงใส่คอหอยของร่างแบ่งพลังผ้าเหลารวดเร็วดุจสายฟ้า
ตอนที่หลิ่วหมิงลงมือนั้น ไม่มีลางบอกเหตุเลยแม้แต่น้อย พอร่างแบ่งพลังผ้าเหลืองเผชิญหน้ากับกระบี่อย่างไม่ทันได้ตั้งตัวเช่นนี้ กลับหดหัวกลับไปด้านหลัง “ตุ๊บๆ!” และร่นถอยไปหลายก้าว พริบตาเดียวก็หลบกระบี่ที่จ่อคอหอยนี้ได้ ขณะเดียวกันพอแสงสีทองเปล่งประกายบนแขน แขนทั้งท่อนก็กลายเป็นโล่สีทองต้านทานแสงกระบี่ตรงหน้าไว้
“ฟิ้ว!”
ภายใต้การเปล่งประกายของแสงกระบี่ ทำให้โล่สีทองกลายเป็นสองส่วนอย่างรวดเร็ว
โล่นี้สร้างขึ้นมาจากพลังเวท ย่อมต้านทานความแหลมคมของกระบี่ว่างเปล่าไม่ได้ ร่างแบ่งยันต์พลังผ้าเหลืองถือโอกาสนี้เคลื่อนไหวออกไปหนึ่งจั้งกว่าๆ
“เต๊ง!” โล่ที่ถูกฟันขาดครึ่งหนึ่งเพิ่งจะร่วงลงถึงพื้น
“ไม่เลว มีพลังของข้าอยู่บ้างจริงๆ ปฏิกิริยาตอบสนองก็รวดเร็วมาก!” หลิ่วหมิงหัวเราะฮ่าๆ และไม่ได้ไล่โจมตีต่อ แสงสีทองเปล่งประกายบนมือเล็กน้อย และกระบี่บินว่างเปล่าก็ถูกเก็บเข้าไป
ร่างแบ่งยันต์พลังผ้าเหลืองโค้งตัวให้หลิ่วหมิงเล็กน้อย โล่ครึ่งหนึ่งที่อยู่บนพื้นเปล่งแสงประกาย และกลายเป็นแสงสีทองลำหนึ่ง จากนั้นก็กะพริบหายไปบนแขนซ้าย
ดูเหมือนว่าของเหลวสีทองในร่างจะขยับตัวขยุกขยิกอยู่ครู่หนึ่ง และกลับกลายเป็นแขนข้างที่มีสภาพสมบูรณ์อีกครั้ง
หลิ่งหมิงเห็นฉากเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ตอนนี้เขาเผยสีหน้าดีใจออกมาจริงๆ แล้ว
จะว่าไปแล้วในระหว่างที่ทำการปรับแต่ง ร่างแบ่งนี้ เขาได้ทำตามบันทึกในคัมภีร์ โดยใส่วัสดุล้ำค่าในหนวนฮวงที่มีชื่อเรียกว่า เรียกว่า ‘ทรายคุนจิน’ เข้าไปด้วย ทำให้ร่างกายสามารถเปลี่ยนแปลงได้ดั่งใจราวกับของเหลว
และตามการคาดการณ์ของเขา ร่างแบ่งพลังผ้าเหลืองนี้ จะมีพลังเวทของเขาราวๆ หกส่วน นี่เพิ่งปรับแต่งเสร็จเท่านั้น จิตส่วนหนึ่งที่ใส่เข้าไปในร่างแบ่งยังไม่สามารถควบคุมร่างกายได้โดยสมบูรณ์ รอเวลาผ่านไปนานเข้า พลังการต่อสู้คงจะถูกยกระดับขึ้นมาไม่น้อย
แน่นอนว่าร่างแบ่งยันต์พลังผ้าเหลืองไม่อาจสืบทอดความแข็งแกร่งของกายเนื้อของร่างจริง และพลังของกระบี่บินว่างเปล่ารวมไปถึงพลังของสมบัติติดตัวชิ้นอื่นๆ ได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม มันก็เพียงพอที่จะทำให้เขารู้สึกรอคอยขึ้นมาแล้ว
หลิ่วหมิงระงับความดีใจไว้ พองอนิ้วชี้ออกไป นักรบยันต์พลังผ้าเหลืองก็กลายเป็นยันต์พลังผ้าเหลือง และถูกเขาเก็บเข้าไปในร่าง
การปรับแต่งร่างแบ่งในครั้งนี้ ทำให้เขาสูญเสียพลังไปไม่น้อย โดยเฉพาะวิธีการปรับแต่งจำเป็นต้องแบ่งวิญญาณออกมาส่วนหนึ่ง แม้ว่าเขาจะมีหนอนพลังจิตคอยช่วย แต่ก็รู้สึกแบกรับไม่ไหวเช่นกัน
เวลาต่อมา เขานั่งขัดสมาธิลงพื้นทันที และเริ่มเก็บตัวเข้าฌาน เพื่อเตรียมฟื้นฟูพลังที่สูญเสียไป
สองเดือนต่อมา ประตูห้องลับที่ปิดสนิทมานานถูกเปิดออกในฉับพลัน หลิ่วหมิงค่อยๆ เดินออกมาจากในนั้น
หลังจากเข้าฌานฟื้นฟูพลังไปรอบหนึ่งแล้ว พลังของเขาก็ฟื้นฟูกลับมาในที่สุด ทันใดนั้นเขาคิดจะไปที่วิหารลี้ลับ เพื่อตรวจสอบดูข่าวคราวเกี่ยวกับอสูรว่างเปล่า
พอนึกถึงจุดนี้ หลิ่วหมิงก็กล่าวด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม
“เกรงว่าคงจะต้องทำให้ศิษย์พี่ทั้งสองผิดหวังแล้ว การเข้าร่วมงานประตูสวรรค์ของข้าน้อยในครั้งนี้ ท่านประมุขเป็นคนกำหนดเอง ข้าน้อยไม่อาจถอนตัวเองได้ หากศิษย์พี่ทั้งสองไม่มีธุระอื่นแล้ว เชิญกลับไปเถอะ! ข้าน้อยยังมีเรื่องสำคัญบางอย่าง ต้องขอลาก่อนแล้ว” หลิ่วหมิงประสานมือคารวะเล็กน้อย จากนั้นก็เดินผ่านด้านข้างของทั้งสองไป
กู่อวี้กับซือหม่าชงได้ยินเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก
“หยุดนะ! ยังพูดไม่ทันจบก็คิดจะไปแล้ว! และอย่าคิดที่จะเอานิกายมาข่มขู่พวกเรา แต่ไหนแต่ไรมานิกายยอดบริสุทธิ์ล้วนใช้พลังในการพูดจา เพียงแค่โจมตีเจ้าจนคลานอยู่บนพื้น ข้าไม่เชื่อว่าทางนิกายจะยังให้เจ้าไปเข้าร่วมงานประตูสวรรค์อีก ข้าจะพูดแค่ประโยคเดียว จะมอบสิทธิ์ของเจ้าออกมาหรือไม่!” ชายชุดแดงหัวเราะอย่างเยือกเย็น พอร่างของเขาเคลื่อนไหว ก็มาขวางอยู่ด้านหน้าของหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ขณะที่กำลังจะพูดอะไรออกมานั้น ชาวชุดแดงกลับพุ่งขึ้นฟ้า พอทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง อักขระแปลกประหลาดที่ดูราวกับโลหิตก็ปรากฏออกมาบนหน้าผาก เปลวไฟบนตัวคุโชนอย่างรุนแรง ไอร้อนแผ่ออกมา อากาศบริเวณรอบๆ ก็เริ่มมีลายคลื่นสีแดงจางๆ ปรากฏออกมา
เกิดเสียงโครมครามรอบด้าน คลื่นอัคคีอันร้อนแรงก่อตัวขึ้นมา ครู่เดียวก็กลายเป็นเมฆอัคคียักษ์ปกคลุมพื้นที่ในระยะสิบกว่าจั้ง และร่างของกู่อวี้ก็จมหายเข้าไปในนั้น ขณะเดียวกันกลิ่นไออันน่าตกใจก็พุ่งลงจากฟ้า และพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงอย่างบ้าคลั่ง
“ร่างสุริยาแผดเผา มิน่าล่ะถึงได้หยิ่งผยองเช่นนี้” หลิ่วหมิงแหงนหน้าหรี่ตาทั้งคู่ลง และพยักหน้าเล็กน้อย เขายังยืนอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน ดูเหมือนเขาจะรู้สึกเฉยๆต่อแรงกดดันจิตวิญญาณอันน่าตกใจที่กู่อวี้แผ่ออกมา
กู่อวี้ที่อยู่กลางอากาศเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกโมโหมาก เขาส่งเสียงคำรามออกมาทันที นิ้วทั้งสิบปล่อยลำแสงสีแดงใส่เมฆอัคคีติดต่อกัน
ภายใต้สถานการณ์ที่มีปราณจิตวิญญาณเปลวไฟกระพือฮือโหมอย่างต่อเนื่อง เมฆอัคคีก็ขยายตัวอย่างบ้าคลั่งจนมีขนาดหนึ่งหมู่กว่าๆ สีของมันก็เปลี่ยนจากสีส้มจนกลายเป็นสีแดงเข้ม แสงสีขาวบริสุทธิ์เปล่งประกายเจิดจ้าตรงขอบ
เกิดเสียงฟ้าผ่าฟ้าร้องดังขึ้นมา!
เมฆอัคคีพวยพุ่งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นอสรพิษเพลิงตัวหนึ่งก็พุ่งออกมาจากในนั้น
อสรพิษยักษ์ยาวสามสิบกว่าจั้ง มีเกล็ดสีแดงเข้มปกคลุมทั้งตัว มีเปลวไฟเผาไหม้อยู่บนนั้น บนหัวมีเขาปะการังอยู่หนึ่งคู่ ดวงตาทั้งคู่ดูราวกับมีเปลวไฟเผาไหม้อยู่ และดูโหดเหี้ยมเป็นอย่างมาก
ซือหม่าชงเห็นเช่นนี้ ก็ร่นถอยออกไปไกลๆ อย่างรวดเร็ว สายตาที่มองดูหลิ่วหมิงก็เต็มไปด้วยความเยือกเย็น
เขารู้ดีว่าเคล็ดวิชาของกูอวี้แตกต่างจากเคล็ดวิชาควบแน่นเปลวไฟเป็นอสูรทั่วไปมาก ร่างของอสรพิษเพลิงที่สร้างขึ้นมาเต็มไปด้วยเปลวไฟบริสุทธิ์ พอพ่นเปลวไฟอันร้อนแรงออกมา แม้แต่อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอด ก็อาจจะละลายขึ้นมาได้ เขาไม่เชื่ออย่างเด็ดขาดว่าหลิ่วหมิงจะสามารถต้านทานอสรพิษเพลิงตัวนี้ได้
………………………………

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา