เปลวไฟยังไม่ทันเข้าใกล้หลิ่วหมิง ไอร้อนก็กดดันเข้ามาราวกับภูเขา
หลิ่วหมิงไม่กระพริบตาเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าอสรพิษนี้จะมีพลังมาก แต่กลับไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาเลย พอยกมือข้างหนึ่งขึ้น ก็เกิดเสียงกระบี่ดังกังวาน เงากระบี่สีทองเปล่งประกายออกมา และแผ่ขยายออกไปเป็นรูปพัด กลิ่นไอกระบี่อันครั่นคร้ามพวยพุ่งออกมาทันที
ครู่ต่อมา ท่ามกลางเสียงดังหวึ่งๆ เงากระบี่ก็รวมตัวกันเป็นแสงกระบี่ที่ยาวสิบกว่าจั้งก่อนพุ่งออกไปเป็นแถบผ้าสีทอง
เปลวไฟที่พวยพุ่งเข้ามาสั่นสะท้านทีหนึ่ง จากนั้นก็ถูกกวาดออกไปท่ามกลางปราณกระบี่สีทองจนหมดสิ้น
ภายใต้การพร่ามัวของแถบผ้าสีทอง มันก็ฟันลงบนหัวของอสรพิษเพลิง
หลิ่วหมิงเผยแววตาโหดเหี้ยมออกมา นิ้วทั้งสิบเคลื่อนไหวติดต่อกัน ไอกระบี่เย็นราวกับน้ำแข็งพุ่งขึ้นฟ้าท่ามกลางแสงสีทอง
ท่ามกลางเมฆอัคคี กู่อวี้รู้สึกแค่ว่าร่างกายเย็นสะท้าน จากนั้นจิตใจและสติปัญญาก็จมอยู่ในไอกระบี่อันครั่นคร้ามโดยสมบูรณ์ ในสมองว่างเปล่าอยู่ครู่หนึ่ง
เกิดเสียงดังขึ้นมา!
อสรพิษเพลิงถูกแสงสีทองฟันจนระเบิดตัวกลายเป็นสะเก็ดไฟ
ตั้งแต่ตอนที่กู่อวี้ลงมือ จนถึงตอนที่อสรพิษเพลิงถูกโจมตี ใช้เวลาพริบตาเดียวเท่านั้น สิ่งนี้ทำให้ซือหม่าชงที่ยืนอยู่ไกลๆ รู้สึกตกใจจนปากอ้าตาค้าง ดูเหมือนว่าเขาไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า
“เป็นไปไม่ได้!” ท่ามกลางเมฆอัคคี กู่อวี้ได้สติขึ้นมาทันที และตะโกนด้วยความตกใจระคนโมโห
หลิ่วหมิงทำเสียงฮึดฮัด แต่กลับชี้มือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ พลังของสายรุ้งสีทองม้วนตัวกลับไปยังเมฆอัคคีโดยที่พลังของมันไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย จากนั้นจันทราสีทองก็ปรากฏออกมา และหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง ทันใดนั้น มันก็ระเบิดปราณกระบี่สีทองออกมาจนแน่นขนัด
เมฆอัคคีที่ปกคลุมเต็มฟ้าถูกปราณกระบี่แทงจนกลายเป็นรูจำนวนมาก หลังจากส่งเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นแล้ว มันก็ระเบิดออกมาโดยสมบูรณ์
ครู่ต่อมา เงาร่างสีแดงก็โซเซออกมาจากท่ามกลางเมฆอัคคี และกระเด็นออกจากเมฆอัคคีที่แตกกระจาย หลังจากเกิดเสียง “ปัง!” ก็ถูกปราณกระบี่ขนาดใหญ่ที่กวาดเข้ามาโจมตีจนล้มลงบนกองหินที่อยู่บริเวณนั้น และส่งเสียงร้องอย่างเวทนา
เงาร่างสีแดงก็คือกู่อวี้นั่นเอง พอเขาตกถึงพื้นก็รีบลุกขึ้นมาทันที ใบหน้าเป็นสีแดงไปทั้งแถบ ดวงตาดูเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก แต่ดูจากท่าทีของเขาแล้ว เหมือนว่าจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากนัก
ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงพลันรู้สึกว่ามีลมร้อนโจมตีมาจากด้านข้าง ซือหม่าชงที่เฝ้าดูการต่อสู้อยู่เห็นว่ากู่อวี้เสียเปรียบ จึงปะทะเข้ามาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
หลิ่วหมิงยังไม่ทันได้หันหน้ากลับมา ไอดำก็เปล่งประกายรอบตัว ทันใดนั้นเขาก็กลายเป็นเงาร่างสามเงา เงาร่างจริงพุ่งไปด้านหน้าหลายจั้งอย่างรวดเร็ว และเงาร่างสองเงาที่ยังอยู่ที่เดิมก็ถูกกำปั้นสีทองโจมตีจนแตกกระจาย
ขณะนี้หลิ่วหมิงถึงหันหน้ากลับไปมอง จะเห็นว่าซือหม่าชงถูกแสงสีทองกลุ่มหนึ่งปกคลุมไว้ ร่างของเขาขยายใหญ่หนึ่งเท่ากว่าๆ ขณะเดียวกัน กลิ่นไอที่แผ่ออกมาก็บ้าคลั่งอย่างหาที่เปรียบมิได้
“ผู้ฝึกร่าง!”
หลิ่วหมิงเผยแววตาประหลาดใจออกมา มือซ้ายงอเล็กน้อย ปราณกระบี่สีทองพุ่งกลับมา หลังจากกระพริบหนึ่งทีแล้ว มันก็หลายเป็นเงากระบี่พุ่งกลับเข้าไปในระหว่างคิ้ว
“ฮึ! ตอบสนองเร็วดีนี่!”
ดวงตาของซือหม่าชงดูเยือกเย็นขึ้นมา เขาส่งเสียงคำรามออกมาทันที ร่างสีดำแววแววปล่อยแสงสีทองออกมานับหมื่นลำ กล้ามเนื้อแต่ละก้อนที่เป็นสีดำราวกับเหล็กก็นูนขึ้นมา ร่างกายขยายใหญ่สามถึงสี่ส่วน
คนผู้นี้เป็นผู้ฝึกร่างผู้หนึ่ง พอโคจรพลังจนกลายเป็นชายฉกรรจ์ร่างยักษ์ที่มีผิวสีทองแล้ว ปราณแกร่งคุ้มร่างก็ส่งเสียงระเบิดดังซ้ำแล้วซ้ำเล่า พอแขนข้างหนึ่งพร่ามัว เงากำปั้นขนาดเท่าศีรษะมนุษย์ก็โจมตีผ่านอากาศมาทางหลิ่วหมิง
สีหน้าหลิ่วหมิงไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ไอดำรอบตัวพวยพุ่งขึ้นมา เงาร่างมังกรพยัคฆ์สีดำหมุนอยู่บนแขน จากนั้นก็โจมตีใส่กำปั้นสีทองที่พุ่งเข้ามา
เกิดเสียงดังขึ้น!
มังกรพยัคฆ์สีดำปะทะเข้ากับเงากำปั้นสีทอง พลังมหาศาลทำให้เกิดระลอกคลื่นสีดำกับสีทองกลางอากาศ และแผ่ขยายออกไปทั่วทิศ
จากนั้นลำแสงสองกลุ่มก็แตกสลายไปพร้อมๆ กัน
คิดไม่ถึงว่าพลังของทั้งสองจะไม่มีใครเป็นรองใคร ซึ่งมีกำลังพอฟัดพอเหวี่ยงกัน!
ซือหม่าชงรู้สึกทั้งตกใจทั้งโมโห
อย่างที่รู้ว่า เขาเกิดมาพร้อมกับโครงกระดูกอันน่าประหลาดใจ หลังจากตั้งใจฝึกฝนมาหลายปีสิบปี ตอนนี้ยิ่งกระตุ้นเคล็ดวิชา ‘ร่างจันทราถึงสุริยา’ ขั้นที่สองที่เป็นวิชาฝึกร่างของยอดเขาแสงทองคำด้วย แต่คิดไม่ถึงว่าในด้านของพลัง ยังไม่อาจเอาชนะหลิ่วหมิงได้
หลังจากเขาครุ่นคิดสองสามทีแล้ว ก็เผยแววตาโหดเหี้ยม และร่ายคาถาออกมา
ทันใดนั้น แสงสีทองก็เปล่งประกายบนร่างของซือหม่าชง ลวดลายแปลกประหลาดสีเงินจางๆ ปรากฏขึ้นบนผิวหนัง เสียงเอ็นและกระดูกดังขึ้นภายในร่าง จากนั้นร่างของเขาก็ขยายใหญ่อีกสามส่วน กลิ่นไอก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย แลดูโหดเหี้ยมขึ้นมามาก
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย และกระตุ้นพลังเวททั่วร่างอย่างไม่รอรี ไอดำรอบตัวก็เพิ่มขึ้นมาอีกเล็กน้อย
ขณะนั้นเอง ร่างขนาดใหญ่ของซือหม่าชงก็พุ่งขึ้นฟ้า และก้มลงมองหลิ่วหมิง แขนขนาดใหญ่กวาดออกไป กำปั้นขนาดเท่าศีรษะพร่ามัวเล็กน้อย และกลายเป็นกำปั้นสีทองเจ็ดแปดลูกที่มีรูปร่างเหมือนกันไม่มีผิด จากนั้นก็พุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงอีกครั้ง
“ตู๊ม!”
หลังจากร่างของหลิ่วหมิงพร่ามัวแล้ว ก็หายไปจากที่เดิมในทันที และบนพื้นที่เคยยืนอยู่ก็มีแสงสีทองระเบิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้น ก็เกิดหลุมลึกๆ ขึ้นมาหนึ่งหลุม ซึ่งก่อให้เกิดเศษหินและฝุ่นควันจำนวนมาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา